fbpx

Author Archives: GRANTScreativeWe40

ที่มาของ THE OXYGEN และความจำเป็นต่อการอยู่อาศัย

ที่มาของ THE OXYGEN และความจำเป็นต่อการอยู่อาศัย

‘หาดใหญ่’ หนึ่งในเมืองที่มีเสน่ห์และเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว แต่ในอีกมุมหนึ่ง หาดใหญ่ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่เติบโตไม่แพ้ภูเก็ตเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีอัตราการขยายออกไปตามความต้องการอย่างต่อเนื่องและเป็นทิศทางของเศรษฐกิจที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราได้รับเกียรติจาก คุณธนวัตน์ พูนศิลป์ ผู้บริหารและก่อตั้ง THE OXYGEN โครงการหมู่บ้านระดับลักชัวรี่ในหาดใหญ่ จะมาพูดคุยทั้งเรื่องในภาพรวมของวงการอสังหาริมทรัพย์ของหาดใหญ่ เทคนิคในการเลือกลงทุนในแบบเฉพาะตัว ไปจนถึงแง่มุมของการออกแบบและเลือกใช้วัสดุสำหรับโครงการ Oxygen ที่แค่เอ่ยชื่อโครงการก็การันตีได้ถึงคุณภาพได้เป็นอย่างดีโดยไม่ต้องอธิบาย

ความหมายของชื่อโครงการ THE OXYGEN ออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิต อีกอย่างคือผมชอบชื่อทางเคมีของออกซิเจนซึ่งก็คือ O2 เพราะผมเรียนเคมีมา เลยคิดว่าถ้าเรานำมาตั้งชื่อโครงการ ก็มีความหมายเหมือนกับการได้รับความบริสุทธิ์ของอากาศ ผมจึงเลือกใช้ O2 และนำไปใช้เป็นโลโก้โครงการ OXYGEN ด้วย ประกอบกับพื้นที่ตั้งโครงการเป็นทำเลที่สูงของหาดใหญ่ เปรียบเสมือนแหล่งอากาศที่ดีและบริสุทธิ์ของหาดใหญ่ ทั้งหมดนี่จึงเป็นที่มาของชื่อโครงการ OXYGEN

ชื่อโครงการกลายเป็นหนึ่งในโจทย์สำคัญที่ให้สถาปนิกนำไปตีความในเชิงออกแบบ เราตั้งวิสัยทัศน์ในโครงการ OXYGEN ของเราว่า “เราจะเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีจุดยืนในด้านความแตกต่าง และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ลูกค้า”   ดังนั้นโครงการของเราจะเป็นโครงการที่แตกต่างจากโครงการอื่น เพราะจะเน้นความเป็นอยู่ที่สบายแบบคนยุคใหม่ แตกต่างจากรูปแบบทั่วไป หนีจากบ้านทั่วไป โครงการ OXYGEN จะมีความเป็นโมเดิร์นสูงมาก รวมไปถึงการจัดการด้านการอยู่อาศัย หมายถึง เรื่องการตกแต่ง  รายละเอียดภายใน เพียงลูกค้า หิ้วกระเป๋าใบเดียวก็สามารถเข้าอยู่ได้เลย เพราะเราได้บิลท์อิน จัดเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวต่างๆ เครื่องใช้ไฟฟ้า แม้แต่จานชามในครัวเราก็จัดเตรียมไว้ให้ คือ ถ้าลูกค้าชอบสไตล์โครงการ OXYGEN นี่คือทั้งหมดที่ลูกค้าจะได้รับ เราจัดเตรียมทุกอย่างสำหรับลูกค้า เพราะเราขายทั้งบ้าน ทั้งสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไปพร้อมๆ กัน

เหตุผลที่เลือกลงทุนในหาดใหญ่ทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ผมเป็นคนใต้นะ หากมองภาคใต้ทั้ง 14 จังหวัดไม่นับภูเก็ตก็มีแต่หาดใหญ่นี่แหละที่ผมว่าควรจะเลือกลงทุน เพราะหาดใหญ่เป็นเมืองธุรกิจ เป็นเมืองส่งออก ค้าขายและยังเป็นเมืองแห่งการศึกษา เมื่อเราจะลงทุนอสังหาฯ เรารู้ว่าเราจะขายให้ใคร โดยกลุ่มลูกค้าของโครงการ THE OXYGEN เราวางไว้เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีเงินและให้คุณค่ากับงานดีไซน์ เข้าใจถึงความแตกต่างด้วยคุณภาพที่โครงการมอบให้ โครงการนี้เป็นหนึ่งในแบรนด์บ้านจากเรา OXYGEN เป็นโครงการที่ขายบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาท ระดับ 15-19 ล้าน เราเน้นสร้างสรรค์บ้านจำนวนน้อยหลังแต่เต็มไปด้วยคุณภาพ  โดยเฉพาะเรื่องดีไซน์เราพิถีพิถันที่สุดเพื่อลูกค้าเฉพาะกลุ่มของเรา ที่ต้องการความแตกต่างอย่างมีระดับ

อะไรที่ทำให้ THE OXYGEN แตกต่างอย่างมีระดับ อันดับหนึ่งคือเรื่องทำเลของโครงการ  ทำเลของเราต้องดีที่สุด ต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติแต่ในขณะเดียวกันการเข้าถึงตัวเมืองหรือสถานที่สำคัญต่างๆ ก็ต้องสะดวก เหมือนอย่างโครงการของเรา ตั้งอยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลเฟสติวัลหาดใหญ่  และจะเข้าเมืองก็สะดวกทุกเส้นทาง อันดับที่สอง คือเรื่องของงานดีไซน์ ซึ่งเรื่องดีไซน์สำหรับโครงการ OXYGEN เราให้ความสำคัญมาก ตั้งแต่ไอเดียจุดเริ่มต้นของการดีไซน์  การวิเคราะห์พื้นที่ตั้งและดึงเสน่ห์ออกมา หรือจะเป็นเรื่องของวัสดุที่ใช้ ทั้งไม้ทั้งหินต่างๆ เพราะโจทย์ของเราคือ ต้องทันสมัย ประหยัดพลังงานและดูโมเดิร์น เพราะเราตั้งใจให้ลูกค้ารับรู้ถึงสไตล์ของ OXYGEN ในแบบ 360 องศา สัมผัสได้ถึงงานดีไซน์ที่ดีไปพร้อมๆ กับวัสดุและเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพ และนี่คือความแตกต่างที่เราให้และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเรา อีกประเด็นคือ เราทำน้อย น้อยในที่นี้หมายถึงจำนวนหลังน้อย เพราะเราต้องการให้แบรนด์เรามีค่า คนที่ซื้อบ้านโครงการ OXYGEN จากเราได้คือคนพิเศษ และถึงผมจะขายบ้านราคาเป็นสิบล้านหมด ผมก็จะไม่สร้างอีกสามสิบหลังในที่ดินติดกัน แต่จะไปสร้างในทำเลใหม่ที่พิเศษในตำแหน่งอื่น ในจำนวนหลังที่ไม่มาก  เพื่อความพิเศษของลูกค้าแต่ละทำเลเท่านั้น เป็นการสร้างคุณค่าให้แบรนด์และทำให้ลูกค้าที่ซื้อบ้านโครงการ OXYGEN ภูมิใจกับของดีของลิมิเต็ดในครอบครอง

มีเทคนิคการเลือกทำเลสำหรับการลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างไร เรื่องโลเคชั่นเป็นเรื่องสำคัญ อย่างทำไมผมถึงเลือกลงทุนโครงการ OXYGEN ที่ตรงนี้ เพราะที่บางที่เหมาะกับสินค้าแพง เหมือนถ้าเราลงทุนสร้างบ้านระดับทั่วไป ในทำเลที่ดี จะทำให้เกิดค่าเสียโอกาสขึ้นกับการพัฒนาที่ดินแปลงนั้น ๆ ซึ่งก่อนซื้อที่ดินในการทำบ้านขายทุกโครงการในเครือออกซิเจน  ผมจะเป็นคนไปดูด้วยตัวเอง ดูว่าลักษณะดินเป็นอย่างไร ฮวงจุ้ยเป็นอย่างไร สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือ อนาคตกำลังจะเกิดอะไรขึ้นรอบๆ ที่ดินแปลงนั้นๆ อย่างที่ดินของโครงการ OXYGEN ผมซื้อตั้งแต่ยังไม่มีเซ็นทรัลมา มาดูแล้วฮวงจุ้ยดีมากเพราะอยู่บนเนิน ที่สูงอากาศดี ต่อมาเซนทรัลมาสร้างทุกอย่างจึงลงตัว ยกระดับที่ดินและโครงการ OXYGEN ให้มีความพิเศษยิ่งขึ้นไปอีก

นอกจากบ้านที่ดีไซน์เฉพาะตัว พื้นที่ส่วนกลางก็ดีไซน์ได้สวยงามไม่แพ้กัน ผมทำพื้นที่ส่วนกลางไว้ขายแบรนด์ OXYGEN พื้นที่ส่วนกลางของผมลงทุนไปสามสิบล้านเพื่อรองรับลูกบ้านโครงการ OXYGEN เพียง 12 หลัง ผมกล้าลงทุนเพราะผลที่ได้รับคือ มันเกิดภาพการจดจำแบรนด์ ทำให้แบรนด์ถูกพูดถึง เกิดเป็นความเชื่อถือที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ ซึ่งมันมีความหมายและจะเกิดผลดีในระยะยาว

โครงการ OXYGEN ใส่ใจเรื่องการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุเป็นอย่างมาก เหตุผลในการเลือก TOSTEM มาใช้กับทั้งโครงการ เพราะ คุณสมบติของสินค้า TOSTEM ที่ดีที่ได้มาตรฐาน การที่เรานำมาใช้กับโครงการ ลูกบ้านก็เชื่อใจในผลิตภัณฑ์ เชื่อใจในโครงการ OXYGEN กลายเป็นที่จดจำว่าถ้าซื้อบ้านกับเรา เชื่อใจได้เลยว่าเราใช้ TOSTEM เราใช้ของดี เราบอกตั้งแต่แรกเลยว่าเราอยากใช้แบรนด์นี้ตั้งแต่เริ่มออกแบบโครงการ ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องคุณภาพของวัสดุแล้ว เรื่องดีไซน์ TOSTEM ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะตัวสินค้าเองก็มีความเรียบหรูแล้วก็โมเดิร์นในตัวเอง อีกทั้งยังช่วยเราดูแลในเรื่องของดีไซน์ด้วย คือมาช่วยดูแบบว่าสามารถนำผลิตภัณฑ์มาใช้กับโครงการอย่างไรจึงจะออกมาดีที่สุดทั้งความหนา ความสูง ฟังก์ชั่นและความสวยงาม ที่สำคัญคือ เรื่องความปลอดภัย จนออกมาเป็นโครงการ OXYGEN ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

ร่วมสัมผัสประสบการณ์พิเศษที่รวมกันระหว่างงานดีไซน์และวัสดุในโครงการ OXYGEN ที่เป็นหนึ่งโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ดีที่สุดของหาดใหญ่ เพื่อตอกย้ำว่า ‘หาดใหญ่’ เปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะกับเรื่องของงานดีไซน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อไม่น้อยไปกว่าคุณภาพของสินค้าที่จะได้รับอีกต่อไป

ขอบขอบคุณ โครงการ OXYGEN https://www.facebook.com/househatyai/ www.tostemthailand.com

THE OXYGEN โดดเด่นด้วยสเปซ แตกต่างด้วยรูปลักษณ์

THE OXYGEN โดดเด่นด้วยสเปซ แตกต่างด้วยรูปลักษณ์

ท่ามกลางโครงการบ้านจัดสรรมากมายที่หาดใหญ่ หนึ่งในเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ การสร้างเอกลักษณ์ให้กับงานออกแบบเพื่อเกิดภาพจำจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่ต่างกับการทำตลาดในด้านอื่นๆ ทำให้ คุณราชิต ระเด่นอาหมัด สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการ THE OXYGEN ตัดสินใจท้าทายความจำเจของการจัดแปลนแบบทั่วไป เปลี่ยนมาเป็นการออกแบบแบบโอเพ่นแปลน (open plan) และเพิ่ม Double Space ลงไปในแบบบ้านทุกหลัง เพราะนอกจากเรื่องความสวยงามของสเปซที่เกิดขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ออกแบบและทางโครงการให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

“รูปลักษณ์ของอาคารก็สำคัญ ต้องเป็นที่จดจำ ถึงเราจะออกแบบบ้านสไตล์โมเดิร์นดูเรียบๆ แต่ในความเรียบนั้นเราใส่ดีเทลในทุกๆ ส่วนของบ้าน แต่ในขณะเดียวกันเราก็ออกแบบสเปซเพื่อตอบโจทย์ครอบครัวที่อยู่ในบ้านจริงๆ เพราะเราเชื่อว่าสเปซที่ดีจะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมที่ดีในครอบครัว มันสามารถสร้างความอบอุ่นได้อย่างคาดไม่ถึง อย่างการออกแบบโอเพ่นแปลนนี้นี่คือตั้งใจสร้างพื้นที่สำหรับครอบครัวให้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อย่างมาดูทีวีพร้อมกัน ทานข้าวร่วมกัน ไม่ใช่แยกไปดูทีวีห้องใครห้องคนนั้น ซึ่งเรื่องแบบนี้สเปซที่ดีช่วยได้” คุณราชิต

นอกจากการออกแบบสไตล์โมเดิร์นที่โดดเด่นแล้ว โครงการ THE OXYGEN ยังกล้าใช้วัสดุจากธรรมชาติเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับบ้าน อย่างไม้จริง และหินภูเขาที่ต้องเลือกหินมาทีละก้อนแล้วค่อยๆ ปรับเหลี่ยมมุมให้เข้ากันในทุกๆ ก้อนก่อนจะก่อขึ้นมาเป็นกำแพงบ้าน จึงทำให้กำแพงหินของทุกบ้านในโครงการนั้นจะไม่ซ้ำกันแม้แต่หลังเดียว

“เราออกแบบรูปลักษณ์ของบ้านโครงการ THE OXYGEN แบบโมเดิร์นก็จริงแต่เราคำนึงถึงความเป็นจริงถึงสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศของหาดใหญ่ที่ฝนตกเกือบตลอดทั้งปี เราจึงอาศัยประโยชน์จากลมธรรมชาติมาใช้กับอาคารในโครงการในการช่วยพัดพาความชื้นจากในบ้านให้ออกไป ร่วมกับการออกแบบช่องเปิดรอบทิศทาง โดยออกแบบขนาดและจังหวะของช่องเปิดให้สัมพันธ์กับรูปลักษณ์อาคารและการระบายอากาศที่ดีไปพร้อมๆ กัน”

อีกหนึ่งอาคารที่โดดเด่นไม่แพ้บ้านในโครงการ THE OXYGEN คือ พื้นที่ส่วนกลางที่ถือเป็นหัวใจหลักของโครงการ ซึ่งหากจะกล่าวถึงในด้านฟังก์ชั่นแล้วที่นี่เปรียบเสมือนอาคาร mixed ที่ทำหน้าที่หลากหลายเพราะมีทั้งห้องประชุมขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำ ที่นั่งพักผ่อนพร้อมกับสวนสวยๆ และยังเป็นเซลล์ออฟฟิศของโครงการด้วย แน่นอนว่าเมื่อฟังก์ชั่นหลากหลายการออกแบบพื้นที่ภายในเพื่อแบ่งสัดส่วนเพื่อการใช้งานแต่ก็ยังคงความเป็นสเปซที่ดีจึงสำคัญ ผู้ออกแบบภายในให้มีลักษณะเป็น Double Space ขนาดใหญ่แล้วกรุกระจกสูงรอบทิศทางเพื่อให้ผู้ใช้อาคารมองเห็นวิวธรรมชาติจากทุกด้าน รวมไปถึงสร้างความโปร่งโล่งและความรู้สึกแบบลักชัวรี่ทันทีที่เดินเข้ามาในอาคาร

ภายนอกอาคารออกแบบด้วยดึงความเป็นโมเดิร์นมาผสมกับไดนามิกของเส้นสายเพื่อให้อาคารดูสนุกและโฉบเฉี่ยวให้เหมาะกับฟังก์ชั่น ด้วยการยังคงใช้เส้นสายให้น้อยที่สุด แต่เพิ่มลูกเล่นด้วยเหลี่ยมมุมและบิดแกนเล็กน้อย เพื่อให้เกิดมิติเวลามองที่แตกต่างไปจากปกติ ซึ่งต่อเนื่องไปถึงการออกแบบแลนด์สเคปบริเวณรอบอาคารที่ทางผู้ออกแบบตั้งใจนำทางเดินเข้าอาคารมาสร้างเป็นกิมมิก โดยออกแบบทางเดินหลายรูปแบบและหลายการเข้าถึง ทั้งแบบทางลาดและบันไดล้อมรอบอาคาร เพื่อสร้างประสบการณ์การเข้าถึงพื้นที่แตกต่างด้วยงานดีไซน์

“เนื่องจากโครงการ THE OXYGEN เป็นสไตล์โมเดิร์นทำให้มีส่วนของช่องเปิดค่อนข้างมากและบานเปิดในหลายๆ จุดก็มีความสูงมากเป็นพิเศษ ในฐานะผู้ออกแบบนอกจากเรื่องของความสวยงามแล้ว เราก็คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยและการรั่วซึมด้วย เพราะที่นี่ฝนตกบ่อยครั้ง เราจึงเลือกใช้ TOSTEM ด้วยความที่แบรนด์มาจากญี่ปุ่น แล้วที่ญี่ปุ่นก็จะมีความเนี้ยบและได้มาตรฐานสูงอยู่แล้ว เราจึงตัดสินใจเลือก และอย่างที่กล่าวไป คือช่องเปิดของเราค่อนข้างสูง ทาง TOSTEM เองจึงเข้ามาดูแลความเหมาะสม ทั้งเรื่องความหนาของกระจกที่สัมพันธ์กับความสูงและเรื่องรายละเอียดต่างๆ เพื่อทำให้ช่องเปิดอาคารกลายเป็นส่วนหนึ่งกับอาคารที่เราออกแบบได้สวยงามและกลมกลืน”

อาจกล่าวได้ว่า ‘ความกล้า’ ที่จะเปลี่ยนสไตล์การออกแบบและความกล้าที่จะลงทุนเพื่อเลือกใช้วัสดุที่ดีที่สุดในการออกแบบโครงการ THE OXYGEN นั้นคือส่วนสำคัญที่ทำให้โครงการโดดเด่นด้วยสเปซที่ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ใช้งานอย่างแท้จริง จนไปสู่รูปลักษณ์อาคารที่สร้างภาพจำและความเชื่อมั่นต่อแบรนด์

DE VIELLE BY AMORNCHAI ความลงตัว ของศิลปะในการใช้ชีวิต

ในงานศิลปะ การผสมสีนั้นเป็นพื้นฐานของการรังสรรค์งานที่มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับสไตล์การออกแบบสถาปัตยกรรมที่ไม่มีขอบเขตอะไรตายตัว การผสมกันระหว่างสไตล์โมเดิร์นที่โดดเด่นด้วยความเรียบง่ายและกลิ่นอายของยุค Mid Century ที่มีเอกลักษณ์ชวนหวนย้อนนึกถึงในวัยเด็กจึงถูกเลือกนำมาผสมผสานกันจนเกิดเป็นโครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI (เดอวีลล์ บาย อมรชัย) ที่ดึงเอาจุดเด่นของทั้งสองสไตล์มาออกแบบบ้านจนเกิดเป็นความลงตัว และเปรียบการใช้ชีวิตในสเปซที่มีคุณภาพเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่า

“ทางเราเคยออกแบบโครงการให้คุณศิริวรรณ ผ่องเสริมสุข เจ้าของโครงการมาก่อนแล้วสองโครงการ โดยโครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI นี่เป็นโครงการที่สาม พอได้มีโอกาสออกแบบที่นี่เราเลยอยากเปลี่ยนการทำงานที่มีรูปแบบหรือสไตล์โมเดิร์นที่แตกต่างไปจากเดิม เริ่มแรกของการออกแบบเราเลยมาคุยถึงคาแรกเตอร์ของรูปแบบบ้านกันก่อน โดยคิดถึงภาพรวมของโครงการทั้งหมด เช่น เมื่อเริ่มเข้าไปยังโครงการจะพบเจออะไร เข้าไปในบ้านจะเจออะไร จะให้ความรู้สึกและบรรยากาศไหน

สุดท้ายแล้วจึงมาลงตัวที่แบบในยุค 60 ในยุคเซนจูรี่ ที่เรารู้สึกว่ามันอบอุ่น จากนั้นจึงพัฒนาแปลนของบ้าน และ Layout โครงการในเวลาต่อมา ซึ่งในเรื่องงานดีไซน์ต้องบอกว่าเราโชคดีที่ทางเจ้าของโครงการนั้นเข้าใจและเปิดกว้าง ที่สำคัญคือให้คุณค่ากับงานดีไซน์มาก นั่นจึงทำให้โครงการนี้ออกมามีเอกลักษณ์ค่อนข้างชัด และเสียงตอบรับจากลูกค้าที่เข้ามาดูโครงการก็เป็นในเชิงบวกครับ”  คุณราชิต ระเด่นอาหมัด สถาปนิกผู้ออกแบบโครงการกล่าว

เมื่อได้จุดลงตัวของรูปแบบของบ้านภายนอกแล้ว จึงมาถึงในขั้นตอนการใส่รายละเอียดให้คาเรกเตอร์บ้านชัดเจนขึ้น อย่างการเลือกใช้หลังคาจั่วที่คนไทยคุ้นเคยและผูกพัน การใช้เสาสี่เหลี่ยมผืนผ้ามาทำหน้าที่รับน้ำหนักโครงสร้างแต่ก็ยังใช้มาเป็นส่วนประกอบของหน้าตาของบ้าน หรือจะเป็นการกรุไม้เทียมและกระเบื้องโมเสคซึ่งเป็นตัวแทนวัสดุในยุคยุค Mid Century เพื่อสร้างให้บ้านมีความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น

“ตอนเราเริ่มออกแบบเราจะจำลองเป็นภาพสามมิติในหัวก่อนว่าเราเดินเข้าไปในสเปซแบบนี้เราจะเจออะไร มันจะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น หรือเจออะไรที่ยังไม่ลงตัวก็ปรับแก้ รวมไปถึงคาแรกเตอร์ของบ้านด้วยที่จะมีการผสมระหว่างโมเดิร์นกับยุคเซนจูรี่ เราก็ดึงเอา element บางอย่างมารวมกัน เช่น หลังคาทรงจั่วที่สวยงามและใช้งานได้ดี หรือบริเวณผนังนอกบ้านก็ใช้โมเสคมาประดับ โดยเลือกใช้สีโทนอบอุ่นเพื่อความสบายตา เติมเฉดเทาเล็กน้อยเพื่อความทัน ส่วนในการตกแต่งภายใน ถ้าเป็นบ้านเราจะออกแบบแปลนเฟอร์นิเจอร์ให้อยู่แล้วเพื่อความสะดวกของลูกค้าในการตกแต่งหรือเพิ่มเติมอะไรในภายหลัง”

เมื่องานออกแบบสถาปัตยกรรมลงตัวแล้วทางผู้ออกแบบจึงเริ่มพัฒนาแปลนของบ้านต่อ จนได้ Type บ้านออกมา 2 แบบ คือ Grandio ขนาดพื้นที่ 249 ตร.ม. และ Nuvo ขนาดพื้นที่ 215 ตร.ม. ที่จะแตกต่างกันที่ขนาดพื้นที่และการจัดฟังก์ชั่น โดย type Grandio จะมีห้องนอนชั้นหนึ่งด้วย เพื่อตอบโจทย์เรื่องผู้สูงอายุในครอบครัว ส่วน type Nuvo ก็โดดเด่นในเรื่องของสเปซที่บริเวณโถงของห้องนั่งเล่นจะเป็น Double Space โดยแบบบ้านทั้งสองแบบจะเน้นเรื่องการเชื่อมต่อพื้นที่จากภายในสู่ภายนอก คือ เน้นการมองเห็นวิวผ่านช่องเปิดขนาดใหญ่ ซึ่งนอกจากได้วิวแล้วยังช่วยในการเรื่องระบายอากาศที่ร้อนและความชื้นจากสภาพภูมิอากาศของภาคใต้ที่มีฝนตกชุกตลอดปีอีกด้วย

“สำหรับเรื่องการเลือกใช้วงกบประตู-หน้าต่าง เราตั้งใจเลือกใช้ TOSTEM โดยเฉพาะ เพราะนอกจากเป็นแบรนด์ที่เราสบายใจในการจะเลือกใช้ เรายังเชื่อใจในเรื่องคุณภาพของแบรนด์ แล้วอย่างที่บอกคือเรื่องของการดีไซน์ที่เรียบง่ายของ TOSTEM ก็เข้ากับแนวความคิดในการออกแบบในโครงการพอดี สำหรับบ้านทุกหลังเราเลือกใช้อลูมิเนียมสี Autumn  Brown ซึ่งสีสวยและขับให้งานออกแบบเด่นชัดขึ้นด้วย”

เดอวีลล์ บาย อมรชัยย์ DE VIELLE BY AMORNCHAI

เดอวีลล์ บาย อมรชัยย์ DE VIELLE BY AMORNCHAI

อัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจในหาดใหญ่ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรนัก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าหาดใหญ่เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของภาคใต้ ได้เปรียบทั้งเรื่องการคมนาคมขนส่ง ไปจนถึงคุณภาพชีวิตและรายได้เฉลี่ยของประชากร แต่สิ่งน่าสนใจจริงๆ ของคนหาดใหญ่ คือ การเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับงานดีไซน์มากขึ้น โดยเฉพาะในโครงการแนวราบอย่างบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ นั่นจึงส่งผลโดยตรงต่อผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในหาดใหญ่ที่จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบจากบ้านรูปแบบเดิมที่เห็นกันจนชินตา มาเป็นบ้านที่ดีไซน์อย่างมีเอกลักษณ์ที่ช่วยส่งเสริมความน่าภูมิใจให้กับเจ้าของบ้านเมื่อได้ครอบครอง

วันนี้เราได้รับเกียรติจาก คุณศิริวรรณ ผ่องเสริมสุข ประธานกรรมการบริษัท อมรชัยย์พร๊อบเพอร์ตี้ จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่จังหวัดสงขลา มาร่วมพูดคุยถึงวงการอสังริมทรัพย์ในหาดใหญ่ ไปจนถึงความน่าสนใจของโครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI (เดอวีลล์ บาย อมรชัย) ที่ทางคุณศิริวรรณ ใส่ใจและดูแลเองในทุกขั้นตอนว่ามีจุดเด่นเรื่องดีไซน์ในด้านใดบ้างเพื่อรองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าที่ให้คุณค่ากับงานดีไซน์มากขึ้นในขณะนี้

ทราบมาว่าเพิ่งหมดวาระจากตำแหน่งนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์จังหวัดสงขลา “ใช่ค่ะ เพิ่งหมดวาระไปไม่นานหลังจากดำรงตำแหน่งมา 2 สมัย (4ปี) ซึ่งเป็นกฎของทางสมาคมอยู่แล้วว่าคนหนึ่งจะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ ก็ต้องผลัดเปลี่ยนให้รุ่นน้องขึ้นมาทำหน้าที่บ้าง ส่วนเราเองก็จะได้มีเวลามาโฟกัสงานตัวเองได้เต็มที่ อย่างโครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI พี่ก็เป็นคนดูแลจัดการเอง”

จุดเริ่มของการเข้ามาทำอสังหาริมทรัพย์ และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ยืนหยัดในวงการที่เรียกว่าหินที่สุดได้มาเป็นสิบปี “ย้อนหลังไปปี พ.ศ. 2545 ธุรกิจเดิมของพี่ไม่ได้เกี่ยวกับอสังหาฯ เลย ก็ทำมาสักระยะจนถึงจุดหนึ่งที่ทิศทางของตลาดเปลี่ยนไป ประจวบเหมาะกับที่เพื่อนชวนไปดูอสังหาฯ หลังจากนั้นเราจึงร่วมลงทุนกัน และก็ทำอยู่ประมาณ 3 ปี พอก้าวเข้าปีที่ 4 เราก็เริ่มมาทำส่วนตัวโดยเริ่มจากทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์โดยเน้นทำเลในเมืองก่อน ก็ทำมาประมาณ 10 โครงการ แต่ละโครงการก็มี 20-30 ยูนิต โดยโครงการหนึ่งใช้เวลาประมาณสองปีถึงสองปีครึ่ง เราเน้นคุณภาพ โครงการไม่ใหญ่มากและสามารถปิดการขายได้ไว”

“ส่วนอะไรที่ทำให้เราอยู่ในวงการนี้ได้นานนั้น พี่อยู่ที่ความจริงใจและใส่ใจลูกค้าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด อะไรที่เราว่าดี อะไรที่เราอยากได้ เราเลือกสิ่งนั้นให้ลูกค้าด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นบ้านทุกหลังที่เราออกแบบและสร้างจะเลือกใช้สิ่งที่ดีที่สุด ดีไซน์ที่ดีที่สุด ที่เหมาะสมที่สุดให้กับลูกค้า ซึ่งความจริงใจนี้ลูกค้าสัมผัสได้ และก็เป็นการการันตีคุณภาพบริษัทเราเช่นกัน นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงได้รับการไว้วางใจจากลูกค้ามายาวนานขนาดนี้”

ในฐานะตัวจริงวงการอสังหาริมทรัพย์ในหาดใหญ่ คิดว่าแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างไรบ้าง “ต้องบอกว่าแนวโน้มอสังหาฯ ในหาดใหญ่ดีมานยังมีอยู่เยอะ แต่เราต้องการความเชื่อมั่นในเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองมากกว่านี้ ถ้าทุกอย่างชัดเจนขึ้น เราเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศ หรือคนที่มีกำลังซื้อทั้งในพื้นที่เองที่กำลังดูจังหวะอยู่ ก็น่ากล้าลงทุนและทำให้วงการนี้เติบโตไปได้อีก”

ทำไมถึงเลือกลงทุนที่หาดใหญ่ มองเห็นศักยภาพอะไร “เราเป็นคนหาดใหญ่ เราอยากทำโครงการที่พัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนเรา แล้วก็ความคุ้นเคย บวกกับศักยภาพของคนหาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อและชื่นชอบงานดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ เราจึงทำบ้านในระดับลักชัวรี่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้”

การเลือกทำเลสำคัญสำหรับโครงการอย่างไร “การเลือกทำเลอยู่ที่ความรักความชอบของเราส่วนหนึ่ง เรื่องของความรู้สึกถูกชะตาก็ส่วนหนึ่ง โลเคชั่นนี้เราอยากอยู่ แต่ในขณะเดียวกันในแง่ของธุจกิจเราก็มองถึงความเป็นได้ในการเจริญเติบโต การเข้าถึงต่างๆ ต้องสะดวกรวดเร็ว โครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI เราเน้นการการเข้าถึงเป็นอย่างมาก แต่ในการเข้าถึงที่สะดวกก็ต้องมีความส่วนตัวด้วย เพราะเราต้องการให้ลูกค้ารู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้าน เป็นพื้นที่ส่วนตัว เป็นโลกส่วนตัวที่หลีกหนีจากความวุ่นวาย แต่ก็เป็นโลกส่วนตัวที่ให้ความสำคัญกับงานดีไซน์”

ทำไมจึงให้ความสำคัญกับงานดีไซน์ในโครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI เป็นอย่างมาก “ที่เราให้ความสำคัญกับเรื่องดีไซน์ในโครงการ DE VIELLE BY AMORNCHAI มาก เพราะเราเชื่อว่ารูปลักษณ์ที่ดีที่สวยของบ้านเป็นสิ่งแรกที่จะทำให้ลูกค้าประทับใจ บ้านสวยลูกค้าก็เกิดความภาคภูมิในเมื่อเป็นเจ้าของ อีกทั้งโครงการเราก็เป็นที่จดจำ ลูกค้าจำได้ แต่ความสวยงามที่เห็นไม่ได้ได้มาโดยง่าย เพราะต้องผ่านขึ้นตอนการศึกษาความเป็นได้ ความลงตัวในเรื่องของรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้า ไปจนถึงการวัสดุในส่วนต่างๆ ทั้งปูพื้น ฝ้าเพดาน การตกแต่งภายในที่บิลท์อินต้องฟังก์ชั่นลงตัว สบายตา ทุกอย่างค่ะ เราลงลึกทุกรายละเอียดในเรื่องดีไซน์จริงๆ”

นอกจากเรื่องดีไซน์ที่ให้ความสำคัญแล้ว การเลือกใช้วัสดุมีวิธีการเลือกอย่างไร “อย่างที่เรียนตั้งแต่ต้น คือ เราทำบ้านเสมือนเราอยู่เอง เฉพาะฉะนั้นเราจึงเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เห็นได้ชัดเลยงานประตู หน้าต่างเราเยอะมาก เนื่องจากบ้านเราเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นผสม Mid Century เมื่อรู้แล้วว่าต้องใช้ประตู หน้าต่างจำนวนหลายบาน เราจึงมาคิดกันว่าจะเลือกใช้แบรนด์อะไรดี ก็มาลงเอยที่ TOSTEM เพราะคุณภาพของวัสดุทำให้โครงการเรามีคุณค่าและมูลค่าเพิ่มขึ้น ตอบโจทยท์ทุกด้าน ทั้งภาพลักษณ์และความปลอดภัย จะเห็นว่าช่องเปิดเราในบ้าน Type Nuvo จะสูงกว่าปกติ ซึ่งจุดนี้ทาง TOSTEM ก็ช่วยมาดูแล เพราะเป็นไซส์พิเศษสูง 6-7 เมตร และไม่ใช่สี่เหลี่ยมธรรมดาแต่ทาง Tostem ก็ทำให้ได้ เพราะทางแบรนด์มีโรงงานผลิตอยู่ในบ้านเราเอง เรื่องคุณภาพการขนส่งต่างๆ เลยไม่ต้องเป็นห่วง วัดแล้วสั่งตัดได้เลย ผลิตมาจากโรงงานไม่ต้องมาทำหน้างาน ลูกค้ามาเห็นก็ไว้ใจ โดยเฉพาะชอบการล็อค เพราะเป็นแบบดับเบิ้ลล็อค ซึ่งจุดนี้ก็ได้เรื่องของความปลอดภัยด้วย แต่ที่ชอบเป็นพิเศษคือกันเสียงได้ดีเลยทีเดียว ของเราหรู แพงเพราะเราตั้งใจของดีให้ลูกค้า”

นับเป็นก้าวใหม่และน่าตื่นเต้นสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ในหาดใหญ่ที่กลุ่มลูกค้าหันมาให้ความสนใจกับเรื่องดีไซน์มาขึ้นพอๆ กับฟังก์ชั่น เชื่อว่าในอนาคตเราจะได้งานออกแบบที่ดีและน่าตื่นตาตื่นใจในหาดใหญ่มากขึ้นอีกแน่นอน  

HOUSE 362 เมื่อความธรรมดาส่งเสียงผ่านสถาปัตยกรรม

HOUSE 362 เมื่อความธรรมดาส่งเสียงผ่านสถาปัตยกรรม

“ความท้าทายในการออกแบบบ้านหลังนี้สำหรับผมคือ การที่เจ้าของบ้านไม่ได้มี requirementใดๆ เป็นพิเศษเลย ทั้งเรื่องของขนาดพื้นที่ หรืองานสถาปัตยกรรม นั่นคือทั้งความท้าทายและความยากในการออกแบบ HOUSE 362 ครับ” คุณจูน เซคิโน สถาปนิกผู้ออกแบบ

หากจะกล่าวถึงความหมายของคำว่า ‘ธรรมดา’ นั้น แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมให้คำจำกัดความและขอบเขตที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกันกับ ‘House 362’ บ้านสองชั้นรูปลักษณ์เรียบง่าย ที่ตั้งชื่อตามบ้านเลขที่ โดยสร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับบ้านหลังเก่าที่ทางเจ้าของบ้าน คือ คุณกิตติภูมิ และ คุณศันสนัย์ พงษ์สุรพิพัฒน์ ให้โจทย์กับทาง คุณจูน เซคิโน จาก Junsekino Architect and Design เพียงว่าขอให้บ้านดูธรรมดาที่สุด เรียบง่ายที่สุดและเป็นบ้านที่สมาชิกในครอบครัวสามารถรับรู้ถึงกันและกันได้ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของบ้าน

ซึ่งหลังจากได้ทำความเข้าใจถึงไลฟ์สไตล์และความชอบของเจ้าของบ้านแล้วแบบที่ออกมาจึงกลายเป็นบ้านขนาด 350 ตร.ม. ที่สะอาดตาด้วยเส้นสายเรียบง่ายและตรงไปตรงมาด้านรูปลักษณ์ด้วยการออกแบบหลังคาจั่ววางอยู่บนกล่องสีขาว โดยได้รับแรงบันดาลใจจากบ้านต่างจังหวัดในบ้านเราที่มีโครงสร้าง ‘ครึ่งปูนครึ่งไม้’ ทำให้ลุคของบ้านออกมามีความร่วมสมัยแต่ก็ยังรู้สึกอบอุ่นดูเป็นบ้านที่เหมาะกับการใช้ชีวิตจริงๆ สำหรับครอบครัว

(ภายนอกกรุไม้เพื่อให้บ้านมีบรรยากาศอบอุ่นยิ่งขึ้น) คุณจุนกล่าวเสริมว่า ในแบบเดิมก่อนหน้านั้นภายนอกนั้นไม่ได้ถูกกำหนดให้กรุไม้แต่อย่างใด เป็นเพียงบ้านกล่องเรียบๆ สีขาว แต่สุดท้ายจึงเสนอให้กรุไม้ไปเพื่อสร้างความอบอุ่นและดูเป็นกันเองเข้าถึงง่ายให้กับตัวบ้าน ซึ่งทางเจ้าของบ้านก็เห็นตรงกัน และตัดสินใจใช้ไม้จริงทั้งหมด เนื่องจากในความเรียบง่ายที่ต้องการนั้น วัสดุที่เป็นของจริงจะตอบโจทย์ได้ตรงที่สุดอีกทั้งยังมองว่าความเปลี่ยนแปลงของไม้จริงที่จะเกิดขึ้นตามกาลเวลาถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ดังนั้นไม้ที่กรุบริเวณผนังภายนอกจึงเลือกเป็นไม้สัก ส่วนพื้นระเบียงขนาดใหญ่ที่ยื่นไปในสนามหญ้าปูด้วยไม้ตะแบก โดยผ่านการทำสีให้มีสีอ่อนและคล้ายคลึงกัน เพื่อให้เข้ากับภาพรวมของบ้านที่ดูขาวสะอาดตา

(ลายและผิวของไม้จริงสร้างความรู้สึกพิเศษที่แตกต่างให้ทุกครั้งที่สัมผัส)

(หลังคาทรงจั่วที่ถูกทอนรูปทรงให้ออกมาร่วมสมัยมากยิ่งขึ้น)

(เวลาที่เปิดช่องเปิดทั้งหมดชานบ้านจะเชื่อมต่อกับฟังก์ชั่นภายในบริเวณ Double Space เกิดเป็นพื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่ร่วมกัน)

สำหรับการออกแบบสเปซภายในนั้น ทางผู้ออกแบบจึงเลือก Double Space ให้เป็นพื้นที่หัวใจของบ้าน ซึ่งอยู่บริเวณ Common Area ที่ถูกออกแบบให้ลักษณะแบบโอเพ่นแปลน (Open Plan) เพื่อให้ทุกฟังก์ชั่นหลอมรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ดึงประโยชน์จากทิศเหนือที่อยู่ตำแหน่งหน้าบ้านด้วยการทำช่องเปิดขนาดใหญ่ตลอดแนวและสูงจรดฝ้าเพดาน เพื่อรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ รวมถึงในช่วงเวลากลางวันจะเปิดช่องเปิดทั้งหมด เพื่อให้ลมจากภายนอกเข้ามาภายในบ้านแทนการเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน ยกเว้นในกรณีที่มีแขกมาเยี่ยมบ้านหรือสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนสนิทถึงจะเปิดเครื่องปรับอากาศเป็นกรณีพิเศษ เพราะด้วยทิศทางของบ้านและช่องเปิดทำให้ภายในบ้านจะเย็นตลอดทั้งวัน

(วางเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวชิ้นใหญ่เพียงตัวเดียว เพื่อให้จบในสเปซโดยไม่จำเป็นต้องมีของตกแต่งมากเกินความจำเป็น)

(ช่องเปิดขนาดใหญ่นอกจากจะทำหน้าที่รับแสงธรรมชาติแล้ว ยังช่วยเชื่อมความรู้สึกทางพื้นที่กับบ้านเก่าให้ยังเห็นกิจกรรมบางอย่างร่วมกันอยู่ เพราะถึงแม้จะแยกบ้านกันแต่ก็ยังรู้สึกถึงกันอยู่)

(ออกแบบให้บันไดทางขึ้นบ้านอยู่หลังกำแพงเพื่อความสบายตาและยังได้พื้นที่ใช้งานได้บันไดอย่างเต็มที่)

(บริเวณแพนทรี่ครัวและโต๊ะรับประทานอาหารเป็นพื้นที่ที่คุณศันสนัย์ชอบมากที่สุด เพราะเป็นอีกจุดที่เห็นสเปซของบ้านทั้งหมด)

จากโถงบันไดขึ้นมายังชั้นสองจะพบกับทางเดิน ซึ่งผู้ออกแบบตั้งใจให้เหมือนสะพานที่ทำหน้าที่แจกฟังก์ชั่นไปตามพื้นที่ของแต่ละคนในบ้านตามฝั่งซ้าย-ขวา โดยยังให้พื้นที่ส่วนนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Double Space อยู่เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการใช้พื้นที่ของสมาชิกในครอบครัว นอกจากนั้นยังสร้างความรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวและรู้สึกถึงกันในครอบครัว ทำให้บ้านอบอุ่นไม่รู้สึกเหมือนต่างคนต่างอยู่

(จากโถงทางเดินชั้นสองก็ยังสามารถมองเห็นวิวด้านนอกผ่านช่องเปิดขนาดใหญ่ได้เช่นกัน) นอกเหนือจาก Double Space จะทำให้พื้นที่โปร่งโล่งแล้ว ผู้ออกแบบยังเพิ่มพื้นที่ทางแนวตั้งด้วยการออกแบบให้ฝ้าเพดานลาดเอียงไปตามความชันของโครงหลังจากจั่ว เพื่อเชื่อมความรู้สึกภายนอกสู่ภายในทางด้านสเปซ อีกทั้งพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นนี้ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการระบายและลดการสะสมของความร้อนในบ้านด้วยเช่นกัน เนื่องจากธรรมชาติของความร้อนจะลอยตัวสูงขึ้นที่สูงและออกไปตามช่องระบายอากาศนั่นเอง

เนื่องจากเจ้าของบ้านต้องการให้บ้านดูเรียบร้อย น้อย และสะอาดตามากที่สุด เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จึงเลือกเป็นแบบบิลท์อินที่กลืนไปกับผนังเป็นหลัก และออกแบบพื้นที่เก็บของจำนวนมากเป็นพิเศษโดยอยู่ในตู้ตามผนัง หรือออกแบบบิลท์อินเพื่อสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงเท่านั้น และเน้นเฟอร์นิเจอร์แบบลอยตัวเท่าที่จำเป็น

อีกหนึ่งความพิเศษของฟังก์ชั่นในบ้านคือ ห้องสำหรับทำกิจกรรมของครอบครัว ซึ่งเป็นทั้งพื้นที่ทำการบ้านของลูกชายวัยแปดขวบและเล่นดนตรีระหว่างคุณพ่อและลูกชาย บริเวณนี้จึงเลือกติดตั้งกระจกรอบทิศทางเช่นกับพื้นที่ Double Space ที่อยู่ติดกัน โดยทางผู้ออกแบบตั้งใจเลือกหน้าต่างประเภทบานกระทุ้งมาติดกันต่อหลายๆ บานจนเกิดเป็นแพทเทิร์นที่เรียบง่ายแต่ไม่ซ้ำใคร อีกทั้งยังได้ในเรื่องของฟังก์ชั่นที่สามารถเปิดเฉพาะบานที่ต้องการใช้ได้

“ก่อนหน้านี้ที่จะมาเป็นกระจกรอบบ้าน เราเคยคิดจะใช้บล็อกแก้ว แต่ก็เปลี่ยนเพราะต้องการความสบายตาที่บางกรณีบล็อกแก้วให้ไม่ได้ แล้วยังมีอีกเรื่องที่สำคัญคือ นอกจากเรื่องไม้จริงที่ทางคุณจุนแนะนำให้ติดภายนอกบ้านแล้ว อีกประเด็นที่คุณจุนเสนอให้ลงทุนกับบ้านคือ การเลือกใช้อะลูมิเนียมที่ได้มาตรฐานกับส่วนของวงกบต่างๆ เนื่องจากเราเองก็กังวลเรื่องการรั่วซึมและเรื่องความปลอดภัยเป็นอยู่แล้ว ทางเราจึงไปเลือกดูระบบของแบรนด์ TOSTEM ด้วยตัวเอง จนแน่ใจแล้วว่าเป็นแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน แล้วก็ยังทนเรื่องรับแรงไหวจากแผ่นดินไหวด้วย เราจึงตัดสินใจเลือกมาใช้กับทุกช่องเปิดในบ้าน ซึ่งพอติดตั้งจริงๆ ก็ค่อนข้างพอใจมาก เพราะนอกจากความแข็งแรงแล้ว ความบางและเส้นสายที่เรียบง่ายยังเข้ากับบ้าน ตรงกับความชอบของเราที่ชอบอะไรที่เรียบง่ายสบายสายตาอยู่แล้ว” คุณศันสนัย์ พงษ์สุรพิพัฒน์ เล่าถึงที่มาของช่องเปิดกระจกขนาดใหญ่รอบบ้าน

(ล็อคแบบก้านโยกแบบพิเศษเฉพาะแบรนด์ TOSTEM

(ล็อคเสริมแบบพิเศษเฉพาะแบรนด์ TOSTEM)

“ผมรู้สึกว่าบางที Concept ในการออกแบบบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดเสมอไป แต่เป็น Feeling ที่เกิดขึ้นในสเปซ ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นระหว่างคนใช้พื้นที่จริงๆ ที่อยู่ในพื้นที่ตลอดเวลาต่างหากคือ เรื่องสำคัญ เพราะการที่เจ้าของบ้านใช้สเปซทุกส่วนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็งในการอยู่บ้านตัวเอง แล้วบ้านเองก็ให้ความเป็นมิตร อบอุ่นและเฟรนลี่กลับไป ผมว่าประเด็นนี้คือเรื่องที่ผมมีความสุขในการออกแบบบ้านหลังนี้ที่สุด” คุณจุน เซคิโน

จากจุดเริ่มต้นที่ต้องการบ้านธรรมดาเพื่อการอยู่การอยู่อาศัย กลับกลายเป็นความพิเศษในความธรรมดาด้วยการออกแบบผ่านงานสถาปัตยกรรมให้ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นตัวตนจนเกิดเป็นรูปลักษณ์อาคารที่มีเอกลักษณ์ จนไปถึงสเปซภายในที่ตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง

ขอขอบคุณ

Owner : คุณกิตติภูมิ-คุณศันสนัย์ พงษ์สุรพิพัฒน์

Architect : Junsekino Architect and Design

Photograph : จิณณวัตร บริหารกิจอนันต์

INTHAMARA 29 จากมรดกทางโครงสร้างแบบคลาสสิก สู่สเปซในสไตล์โมเดิร์น

INTHAMARA 29 จากมรดกทางโครงสร้างแบบคลาสสิก สู่สเปซในสไตล์โมเดิร์น

“บ้านหลังนี้เกิดจากการรวมกันระหว่างความคลาสสิกที่คุณพ่อชอบ ผสมกับไสตล์โมเดิร์นเรียบๆ ที่คุณอ้วนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านชอบ เฉพาะฉะนั้นบ้านจึงออกมาเป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นที่มีกลิ่นอายของความคลาสสิกเจืออยู่ในรายละเอียด” คุณเบ๊น-ณฤชา คูวัฒนาภาศิร สถาปนิกผู้ออกแบบ

หากจะเรียกว่าเป็น ‘ความแตกต่างที่ลงตัว’ ก็คงไม่ผิดนักสำหรับการจับคู่กันระหว่างการออกแบบที่ต่างกันสุดขั้วของสไตล์โมเดิร์นและสไตล์คลาสสิกที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันของ คุณอ้วน-วสุ เลาจริยกุ ที่แรกเริ่มนั้นต้องการปลูกบ้านใหม่ในพื้นที่เดิมของครอบครัวเพื่อสร้างเป็นเรือนหอ โดยตั้งใจรื้อบ้านหลังเดิมที่อยู่ติดกับบ้านของคุณพ่อซึ่งเป็นสไตล์คลาสสิกออกทั้งหมดแล้วสร้างเป็นสไตล์โมเดิร์นที่ชอบ แต่ทางคุณพ่อเสนอว่าให้เก็บเอกลักษณ์บางอย่างของความคลาสสิกไว้

นั่นจึงทำให้คุณอ้วนตัดสินใจรีโนเวตบ้านหลังนี้แทนการทุบใหม่ทั้งหลังเพื่อให้ยังคงกลิ่นอายบางอย่างของบ้านเดิมที่คุณพ่อชอบไว้อยู่ โดยได้ คุณเบ๊น-ณฤชา คูวัฒนาภาศิร สถาปนิกฝีมือดีจาก I like design studio มารับหน้าที่ช่วยทำให้สไตล์ที่แตกต่างกันนั้นผสมกลมกลืนออกมาเป็นบ้านที่กลมกล่อมไปทุกรายละเอียด

“ช่วงออกแบบและก่อสร้างจนมาถึงวันนี้เราก็เรียกบ้านหลังนี้กันจนติดปากว่า ‘บ้าน 29’ ตามชื่อซอยอินทามระ 29 ส่วนเรื่องการออกแบบนั้นถ้าเป็นเรื่องของสไตล์และความชอบไม่ได้ยากหรือมีปัญหาอะไร เนื่องจากผมและคุณอ้วนชอบอะไรคล้ายๆ กันอยู่แล้ว อย่างงานออกแบบสไตล์โมเดิร์นหรือความมินิมอล ชอบบ้านขาวๆ สะอาดๆ เหมือนกัน เมื่อถึงเวลาการออกแบบเลยค่อนข้างลื่นไหล อาจจะเพราะผมกับคุณอ้วนรู้จักกันมาก่อนจะเริ่มออกแบบเลยพอทราบความต้องการและสไตล์ของคุณอ้วนมาประมาณหนึ่ง ส่วนเรื่องความท้าทายในการออกแบบคงหนีไม่พ้นว่าจะทำอย่างไรให้ความคลาสสิกกับความโมเดิร์นให้ไปด้วยกันได้นั่นแหละ ซึ่งสุดท้ายเราจึงตัดสินใจเก็บโครงสร้างเดิมไว้แล้วใส่ Element ความเป็นโมเดิร์นลงไป”

(ต่อเติมชานบ้านขนาดใหญ่สำหรับใช้งานจริงลงบนโครงสร้างเดิม)

(เก็บโครงสร้างเสาเดิมของอาคารเอาไว้เพื่อรับระเบียงบริเวณชั้นสอง) เมื่อตัดสินใจที่จะออกแบบให้เป็นบ้านที่ผสมกันระหว่างสองสไตล์แล้วทางผู้ออกแบบจึงทุบพื้นเดิมทิ้งทั้งหมดแล้วเหลือไว้แต่โครงสร้างและจำนวนของเสาที่มีจำนวนมากที่เป็นภาษาของคลาสสิกไว้ด้านนอก เพื่อให้เวลาที่มองจากภายนอกก็ยังคงรับรู้ถึงเรื่องราวเดียวกันระหว่างบ้านของพ่อกับของลูกอยู่ จากนั้นจึงดันระยะกระจกให้อยู่ด้านในเสาเพื่อให้เกิดการเข้ามุมของกระจก ช่วยให้บ้านดูเบาและสบายตา อีกทั้งจากการรื้อพื้นเดิมออกนั้นก็เพื่อที่จะสามารถให้ทำให้ฝ้าเพดานมีระดับความสูงได้แบบโมเดิร์นเกิดเป็น Double Space ที่ต่อเนื่องกัน โดยทำโครงสร้างเหล็กมาช่วยเสริมบริเวณนี้เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง

(ช่องเปิดขนาดใหญ่บริเวณห้องนั่งเล่นทำหน้าที่เปิดรับแสงและลมธรรมชาติเข้ามาอย่างเต็มที่)

(เจาะช่องเปิดรอบทิศทางเพื่อสร้างบรรยากาศโปร่งโล่งให้กับสเปซ)

Double Space บริเวณห้องนั่งเล่นเกิดจากความต่อเนื่องจากการออกแบบฟังก์ชั่นและสเปซที่มีชนาด 6.0×10.0 ม. ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ถูกจำกัดด้วยโครงสร้างของบ้านเดิม ส่งผลให้จังหวะและขนาดของช่องเปิดมีขนาดใหญ่เพื่อให้พอเหมาะกับขนาดของบ้าน อีกทั้งยังเป็นรับเปิดรับแสงจากทางทิศตะวันออกที่อยู่หน้าบ้านได้เต็มที่ เสริมกับทำชานบ้านใหม่ให้กว้างกว่าปกติบนโครงสร้างเดิม โดยมีระเบียงชั้นสองที่ถูกเปลี่ยนจาก Canopy แบบคลาสสิกมาทำหน้าหน้าที่เป็นชายคาได้อย่างลงตัว

(คุมธีมการตกแต่งด้วยสีขาวจากกระเบื้องลายหินอ่อนเป็นหลัก เนื่องจากทำความสะอาดได้ง่ายและให้ลุคที่ดูโมเดิร์นเรียบหรูในตัวเอง)

(เพิ่มช่องเปิดบริเวณโถงบันไดเพื่อลดความอึดอัด) การเลือกใช้วัสดุเพื่อให้ยังคงกลิ่นอายแบบคลาสสิกก็เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อวันแรกที่ทำการรื้อบ้านหลังเดิมทางผู้ออกแบบก็ไปเลือกเก็บวัสดุเก่าอย่างหลังคาและไม้ เพราะสีสันและร่องรอยตามธรรมชาติทำให้เชื่อมเรื่องราวกับบ้านหลังของคุณพ่อที่อยู่ข้างกันได้ ส่วนการออกบ้านเพื่อให้โมเดิร์นมากขึ้นจึงไปเน้นตรงการลดทอนรายละเอียดของความคลาสสิกบางประการให้น้อยลงไป อย่างการยังเก็บบัวให้ล้อของเดิมแต่ลดจำนวนเส้นสายลง และเปลี่ยนวงกบประตูและหน้าต่างใหม่ทั้งหมดเป็นอะลูมิเนียมเพื่อให้ดูเรียบร้อยขึ้น

(ผู้ออกแบบเสนอไอเดียเรื่องพื้นที่เก็บของที่ต้องมีปริมาณที่ค่อนข้างมาก เนื่องจากบ้านโมเดิร์นต้องการความเรียบเป็นสำคัญจึงทำให้บ้านหลังนี้มีพื้นที่เก็บของจำนวนมากและหลายสไตล์ ทั้งเป็นตู้ที่ถูกออกแบบให้ฝังไปในผนังหรือชั้นวางของที่สูงจรดเพดาน)

(สะพานกระจกที่เป็นอีกหนึ่งกิมมิกของบ้าน ทำขึ้นเพื่อต้องการเชื่อมมุมมองจากชั้นล่างขึ้นชั้นบนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน)

“ผมเป็นคนแนะนำให้คุณอ้วนเลือกใช้ TOSTEM เพราะงานที่ผมออกแบบที่ผ่านมาได้มีโอกาสใช้TOSTEM พอเคยใช้แล้วรู้สึกว่าสินค้าได้มาตรฐาน มีคุณภาพแล้วราคาไม่ได้สูงจนเกินไปนัก จึงนำมาใช้กับบ้านคุณอ้วนต่อ โดยที่ช่องเปิดส่วนอื่นๆ ของบ้านเราใช้ขนาดมาตรฐานตามที่แบรนด์มี” คุณเบ๊น-ณฤชา สถาปนิกผู้ออกแบบ

จากมรดกทางโครงสร้างแบบคลาสสิกของบ้านเดิมสู่สเปซและรูปลักษณ์ในสไตล์โมเดิร์นที่ถูกเปลี่ยนให้เข้ากันด้วยการออกแบบ ซึ่งนอกจากจะสะท้อนรสนิยมของเจ้าของบ้านแล้ว การเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของการออกแบบสไตล์คลาสสิกเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นบัว เสาหรือวัสดุบางอย่างเอาไว้แสดงให้ถึงเรื่องความความผูกพันระหว่างครอบครัว รวมไปถึงเกิดเป็นพื้นที่ที่มีกลิ่นอายความอบอุ่นที่สัมผัสได้ชัดเจนในทุกๆ สเปซ

(สร้างลูกเล่นให้หน้าต่างบานกระทุ้งด้วยการย้ายตำแหน่งมายังบริเวณใต้กระจกเงา)

(ระบบล็อคดีไซน์พิเศษเพื่อการใช้งานที่สะดวกและปลอดภัย)

ขอขอบคุณ

Owner : คุณวสุ เลาจริยกุ

Architect : I like design studio โดย คุณณฤชา คูวัฒนาภาศิร

Photograph : จิณณวัตร บริหารกิจอนันต์