ทุกวันนี้การเลือกหน้าต่างอะลูมิเนียมให้กับบ้านหรืออาคาร ไม่ได้เน้นเพียงแค่เรื่องของฟังก์ชันการใช้งานเท่านั้น แต่ยังใส่ใจไปถึงเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา รวมถึงสีสันที่ต้องมาควบคู่กันไปด้วย เพราะสีสันก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ภาพจำของตัวบ้านมีความสวยงามโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับนวัตกรรมการทำสี 4 รูปแบบ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม ให้เลือกกันดูว่า การทำสีแบบไหนจะตอบโจทย์และเหมาะสมลงตัวกับหน้าต่างของคุณมากที่สุด
‘เทรนด์สีธรรมชาติ’ ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเราเป็นอย่างมาก สำหรับการนำมาใช้ตกแต่งภายในบ้าน เพราะทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่น และผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าหากเราต้องการเพิ่มกลิ่นอายธรรมชาติให้กับอาคารหรือที่อยู่อาศัย ก็สามารถที่จะเลือกหน้าต่างอะลูมิเนียมที่มีลวดลายดูเป็นธรรมชาติอย่างลายไม้ได้เช่นเดียวกัน ผ่านการใช้เทคนิคสีพ่น พร้อมเคลือบด้วยแผ่นฟิล์มลายไม้ หลังจากนั้นจึงอบอะลูมิเนียมด้วยความร้อนเป็นขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งเทคนิคนี้เรายังสามารถเลือกลายไม้ที่ต้องการได้อย่างหลากหลายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นลวดลายอย่างไม้สัก ไม้แดง ไม้มะค่า เป็นต้น นอกจากนี้การใช้อะลูมิเนียมลายไม้ยังสามารถให้ผิวสัมผัสที่คล้ายคลึงกับไม้จริง จนเรียกได้ว่า สามารถทดแทนบานหน้าต่างที่ใช้วัสดุไม้จริง ซึ่งมีราคาสูง ดูแลรักษายากกว่า และไม่แข็งแรงทนทานเท่าอะลูมิเนียม
อุตสาหกรรมในหลายแห่งมักนิยมใช้สีพ่น (Powder Coat) ที่เป็นการใช้สีฝุ่นพ่นลงบนพื้นผิวของอะลูมิเนียม ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะเลือกสีสันอะลูมิเนียมได้ตามความต้องการ หรือหากใครมีไอเดียในการออกแบบก็สามารถเพิ่มเติมกิมมิกผิวสัมผัสแบบพิเศษให้กับอะลูมิเนียม เพื่อให้ดูน่าสนใจมากขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น การพ่นแบบซาฮาร่าที่ให้ผิวสัมผัสเหมือนกับเม็ดทราย หรือจะเป็นการพ่นผิวแบบผิวเงา หรือผิวด้านก็สามารถทำได้เช่นกัน
ซึ่งข้อดีในการใช้สีพ่นคือ ความหลากลายของสี เนื้อสีไม่หลุดร่อนง่าย แถมยังทนทานต่อทุกสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี แต่การเลือกใช้สีพ่นก็ยังมีข้อเสียตรงที่เนื้อสีบนอะลูมิเนียมอาจจะไม่มีมิติมากเท่าไหร่นัก และเมื่อใช้ไปในระยะเวลานานสีอาจจะซีดจางลงได้
หากต้องการสีอะลูมิเนียมที่มีความคงทนมากยิ่งขึ้นก็สามารถใช้เทคนิคการพ่นสีอะลูมิเนียม (Powder Coat) และเพิ่มเติมการอบด้วยความร้อนอีกขั้นตอนหนึ่ง ซึ่งนอกจากความคงทนของสีแล้ว ยังให้ให้มิติของสีสันมากกว่าสีพ่นแบบปกติ แถมยังสามารถออกแบบสีสันได้ตามความต้องการได้อีกด้วย แต่ด้วยเทคนิคที่มีความซับซ้อนจึงมีค่าใช้จ่ายในการทำค่อนข้างสูง และไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่นัก
ด้วยนวัตกรรมด้านสีที่พัฒนาขึ้นทุกวัน อีกรูปแบบของการทำสีอะลูมิเนียมที่น่าสนใจก็คือ การชุบสี (Anodized) ซึ่งมีการใช้เทคโนโลยี Electrolytic Coloring หรือการทำสีด้วยระบบกระแสไฟฟ้าเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต โดยก่อนทำการชุบสีจะนำอะลูมิเนียมไปผ่านกระบวนการทางเคมีไฟฟ้าที่เรียกกว่า อะลูมิเนียมออกไซด์ (Aluminum Oxide) ลงไปบนชั้นผิวอะลูมิเนียมจนเกิดเป็นรูพรุนจำนวนมาก จากนั้นจึงเติมสีแบบโลหะด้วยประจุไฟฟ้าลงไปที่อะลูมิเนียม เนื้อสีจะเข้าไปตามรูพรุนต่างๆ จนเป็นเหมือนชั้นฟิล์มเคลือบอะลูมิเนียม จากนั้นจึงเข้ากระบวนการอบผิวอีกครั้งเพื่อให้สีทนทานมากยิ่งขึ้น
วิธีนี้ช่วยสร้างผลดีให้กับเนื้อสี และตัวอะลูมิเนียม เพราะไม่ทำให้เกิดการผุกร่อน ให้สีสันที่มีมิติสวยงาม ไม่เกิดรอยขีดข่วนได้ง่าย คงทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นอกจากนี้ยังคงทนต่อรังสี UV และน้ำฝนที่เป็นสาเหตุให้สีซีดจาง รวมไปถึงยังคงผิวสัมผัสลื่น และความเรียบเนียน
จะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้การทำสีอะลูมิเนียมนั้นมีกระบวนการทำสีที่แตกต่างกัน จึงต้องดูว่าบานหน้าต่างอะลูมิเนียมของเรานำไปใช้ติดตั้งในพื้นที่ส่วนไหน หรือ ต้องการลวดลายและมิติของสีมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงเรื่องของงบประมาณด้วย
ซึ่งถ้าต้องการลวดลายที่เป็นธรรมชาติก็แนะนำให้ใช้วิธีการทำสีแบบลายไม้ แต่ถ้าต้องการทำเฉดสีสไตล์โมเดิร์นอย่างเฉดสีเทาจนถึงเฉดสีดำที่มีมิติ แข็งแรงทนทาน ดูแลรักษาง่าย และมีราคาถูก ก็แนะนำให้เลือกการชุบสี (Anodized) เพราะเป็นการเคลือบสีที่ลงลึกไปถึงด้านในของอะลูมิเนียม ที่มีคุณภาพกว่าการทำสีเทคนิควิธีอื่นๆ
ซึ่งทาง TOSTEM ก็มีผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้วิธีชุบสีแบบ Anodized ให้กับกรอบหน้าต่าง ซึ่งให้มิติสีสันที่สวยงาม ไม่เกิดรอยขีดข่วนง่าย แถมยังคงทนต่อทุกสภาพอากาศ อย่าง Dusk Gray สีเทาเข้มเหลือบน้ำเงิน ที่ได้แรงบันดาลใจมาช่วงพระอาทิตย์ตกดินในยามพลบคล่ำของประเทศญี่ปุ่น เป็นการเชื่อมสีสันให้สีของหน้าต่างดูอบอุ่นเช่นเดียวกับเส้นของขอบฟ้าได้อย่างสวยงาม
หากใครที่กำลังวางแผนตกแต่งบ้านหรือสร้างบ้านใหม่ทาง TOSTEM ก็ยังมีหน้าต่างและประตู อะลูมิเนียมดีไซน์ทันสมัยอีกหลากหลายรุ่นให้ได้เลือกสรรกันว่าแบบไหนจะเหมาะสมกับสไตล์บ้านของเรามากกว่ากัน