fbpx

Tag: ที่อยู่อาศัย

เปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้น่าอยู่

เปลี่ยนบ้านให้ ‘น่าอยู่’ ใส่ใจทั้งกลางวันและกลางคืน

ทุกวันนี้รูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนไปแล้ว เทรนด์การทำงานจากที่บ้านหรือ Work from Home ถูกให้ความสนใจมากขึ้น แม้บางคนอาจมองว่าเป็นรูปแบบการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่พบว่าการทำงานที่บ้าน ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานในออฟฟิศเสียอีก จึงทำให้บางบริษัทได้มีการออกนโยบายให้เป็น Hybrid Office ที่มีทั้งการทำงานจากที่บ้านและออฟฟิศสลับกัน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงหันมาให้ความสนใจกับการจัดแต่งมุมทำงานในบ้านมากยิ่งขึ้น หรืออาจถึงขั้นรีโนเวทกันใหม่เลยทีเดียว สำหรับใครที่กำลังหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ วันนี้ TOSTEM ขอนำเสนอ4 ไอเดียที่จะเปลี่ยนมุมทำงานอันแสนจำเจ ให้กลายเป็นมุมทำงานที่เพิ่มพลัง Productive ในทุก ๆ วันมาฝากกัน 

เปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้น่าอยู่

1. จัดขนาดพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่มุมไหนๆ ของบ้าน ‘ฟังก์ชันที่ดี’ ย่อมต้องมีคู่บ้านเสมอ เช่นเดียวกันกับห้องทำงาน ที่ต้องมีการแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน และเหมาะสมกับการใช้งานของเรา ดังนั้นก่อนจะลงมือจัดมุม Work from Home ให้น่าทำงาน เราควรรู้ก่อนว่างานของเราต้องใช้อุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์อะไร และสิ่งของเหล่านั้นมีขนาดเท่าไหร่บ้าง เพื่อที่จะนำมาออกแบบพื้นที่แต่ละมุมให้ใช้งานง่าย จัดเก็บสะดวก และตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานในทุก ๆ วัน อีกทั้งยังช่วยลดการใช้พื้นที่อย่างสิ้นเปลืองอีกเช่นกัน ซึ่งในทางจิตวิทยา หากเราใช้เวลาในห้องที่มีขนาดแคบ กว้าง สูง หรือเตี้ยเกินไป สามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจเราให้เกิดพลังลบได้ในขณะเดียวกัน 

เมื่อมีการจัดขนาดพื้นที่อย่างเหมาะสมแล้ว เราก็ต้องเลือกเฟอร์นิเจอร์อย่าง โต๊ะ เก้าอี้ และตู้วางของ ให้มีขนาดที่สมดุลกับสรีระของเราเช่นกัน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง และลดการเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรม ที่นำไปสู่อาการปวดกล้ามเนื้อในวัยทำงาน อย่างที่หลายคนกำลังประสบปัญหานั่นเอง 

2. เปิดรับและปรับระดับแสงสว่างให้เพียงพอ

เราคงเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าหากจ้องจอนานจะทำให้สายตาเสีย ทว่าสายตาเสียในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสายตาสั้นหรือยาว แต่กล่าวถึง ‘อาการตาล้า’ ที่เกิดจากการใช้งานสายตาหนักเป็นเวลานานในห้องที่มีแสงสว่างที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างเกินไป หากปล่อยให้เผชิญกับอาการตาล้าบ่อย ๆ อาจนำมาสู่การเกิดโรคทางดวงตาอย่างรุนแรงได้ในระยะยาว ดังนั้นเราจึงต้องจัดเตรียมแสงสว่างให้เพียงพอทั้งในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน 

โดยแสงไฟส่องสว่างที่เหมาะสมสำหรับห้องทำงาน จะอยู่ที่ประมาณ 400 – 600 ลักซ์ และควรใช้แสงสี Daylight หรือ Cool white เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน สบายตา และสร้างความรู้สึกกระตือตือร้นในการทำงานได้ดี ทั้งนี้ควรติดตั้งแสงไฟทั้ง ‘ไฟบริเวณ’ ซึ่งทำหน้าที่ให้แสงสว่างทั่วห้อง เน้นอำนวยความสะดวกในการใช้งานทั่วไป และ ‘ไฟเฉพาะจุด’ อย่างโคมไฟบนโต๊ะทำงาน เพื่อปรับระดับแสงสว่างให้ตอบโจทย์กับการทำงานยิ่งขึ้น 

สำหรับในช่วงกลางวันนั้น ‘แสงธรรมชาติ’ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน ที่นอกจากจะส่งผลดีต่อสายตาแล้ว ยังส่งผลดีต่อใจของเราอีกเช่นกัน เพราะในเชิงจิตวิทยา แสงธรรมชาติสามารถส่งผลให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยผ่อนคลายความเครียด ทั้งยังกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากสังเกตจะพบว่าห้องที่ดูน่าทำงาน ส่วนใหญ่มักจะมีหน้าต่างบานกว้าง หรือมีหน้าต่างหลายด้านเสมอ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องระวังภัยเงียบที่แฝงมากับแสงธรรมชาติ อย่างความร้อนและรังสียูวีด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้หน้าต่างที่มีบานกรอบหนาแน่น ลดการรั่วไหลของอุณหภูมิ ประกอบกับกระจกที่มีความหนาเพียงพอ อย่างกระจกลามิเนตหรือกระจกอินซูเลท เพื่อปกป้องตัวเราจากรังสียูวี และช่วยประหยัดพลังงาน ลดการสะสมความร้อนภายในห้อง 

3. รักษาความสะอาด ลดการสะสมของฝุ่นและความอับชื้น

ในช่วงเวลาทำงานหลายคนมักเปิดเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ จึงทำให้เกิดความอับชื้นและเชื้อราสะสมภายในห้องได้ง่าย โดยเฉพาะห้องทำงานที่เก็บหนังสือหรือเอกสารกองโต ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นเราจึงควรเปิดรับอากาศธรรมชาติให้เข้ามาถ่ายเทบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมระมัดระวังฝุ่นละออง ที่มักปลิวมาตามลม หรืออาจเล็ดลอดผ่านรอยต่อระหว่างบานกรอบประตู-หน้าต่าง 

ด้วยเหตุนี้บานกรอบประตู-หน้าต่างของ TOSTEM จึงถูกออกแบบกลไกภายในบานกรอบ ทั้งอุปกรณ์ล็อกมุมต่างๆ และซีลยางขอบประตู-หน้าต่าง ให้สามารถปิดล็อกได้อย่างแนบสนิท ไร้กังวลเรื่องฝุ่น PM 2.5 ละอองเกสร และมลภาวะทางอากาศต่างๆ  สำหรับใครที่กังวลเรื่องแมลงในระหว่างเปิดประตู-หน้าต่าง ก็สามารถติดตั้งมุ้งลวดเพิ่มเติมได้ ซึ่งมุ้งลวดของ TOSTEM นั้น ถูกออกแบบให้มีดีไซน์ทันสมัย ใช้งานง่าย เข้ากับบานกรอบประตู-หน้าต่างอย่างลงตัว โดยเฉพาะในรุ่น ATIS ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีมุ้งกันแมลงล่องหน ซึ่งผลิตจากเส้นตาข่ายที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นไนลอนขนาดทั่วไปถึง 40% ทำให้สามารถมองเห็นวิวข้างนอกได้ชัดเจนขึ้น ทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่น แมลง และปล่อยให้ลมสามารถลอดผ่านเข้ามาได้ดีกว่าเดิม

4. เพิ่มความสดชื่น มีชีวิตชีวา ด้วยสีเขียวจากต้นไม้

การพักสายตาหันไปมองธรรมชาติรอบตัว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจจากความเครียดได้ดี และการปลูกต้นไม้ภายในห้องทำงาน อาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคาดคิด เพราะต้นไม้บางชนิดมีคุณสมบัติช่วยดักจับฝุ่นและสารพิษในอากาศ หรือสามารถฟอกอากาศให้สะอาด สดชื่น ด้วยการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างต้นยางอินเดีย, เขียวหมื่นปี, เดหลี, ฟิโลเดนดรอน หรือลิ้นมังกร เป็นต้น โดยพืชเหล่านี้มักมีรูปทรงสวยงาม และชอบแสงแดดรำไร จึงเหมาะกับการประดับตกแต่งภายในบ้านเป็นอย่างยิ่ง 

การจะเลือกชนิดต้นไม้มาปลูกภายในห้องทำงานนั้น เราควรคำนึงถึงพื้นที่ว่างภายในห้องเป็นอย่างแรก หากห้องทำงานมีพื้นที่ไม่เพียงพอกับการวางกระถางบนพื้น อาจต้องหันมาเลือกไม้กระถางที่มีขนาดเล็ก หรือไม้แขวนประดับแทน เช่น ต้นเศรษฐีเรือนใน, พลูด่าง, เฟิร์นบอสตัน, ว่านหางจระเข้ เป็นต้น ที่สำคัญแม้ต้นไม้เหล่านี้จะต้องการแสงแดดน้อย แต่ก็ควรปลูกในจุดที่ลมถ่ายเทสะดวก และโดนแสงแดดอ่อนๆ บ้าง เพื่อให้ต้นไม้มีสุขภาพดี สามารถเจริญเติบอย่างสวยงาม หรือหากต้องการต้นไม้ใบสวยที่ไม่ง้อแดด ที่เน้นการดูแลรักษาได้ง่ายเหมาะกับไลฟ์สไตล์ก็จะยิ่งเหมาะสม หรือหากเลือกปลูกต้นไม้ที่สามารถช่วยฟอกอากาศได้ ก็จะช่วยให้บรรยากาศรวมถึงอากาศในห้องทำงานสดชื่นขึ้นอีกด้วย

จาก 4 ไอเดียที่เราแนะนำมานี้ จะสังเกตได้ว่าการไหลเวียนของแสงและอากาศเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้บรรยากาศภายในห้องทำงานน่าอยู่สบาย การเลือกประตู-หน้าต่างที่มีคุณภาพสูง จึงเปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง ที่ช่วยปกป้องเสียงและอุณหภูมิจากภายใน แต่ยังเปิดวิวทิวทัศน์ให้เราสามารถใช้ชีวิตและ Work from Home ได้อย่างสบายกายสบายใจ ซึ่งผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ทุกชิ้นล้วนผ่านกระบวนการผลิตและการทดสอบประสิทธิภาพอย่างเข้มงวด ตามมาตรฐานการผลิตจากญี่ปุ่นควบคู่กับมาตรฐานจากอเมริกา จนได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมายาวนานตลอด 100 ปี

5 แนวคิดที่นำมาสู่ดีไซน์สุดโดดเด่นของประตูหน้าต่าง TOSTEM

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมจากแบรนด์ TOSTEM สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย


โถงต้อนรับ, Genkan, Foyer, การออกแบบโถงต้อนรับ, เคล็ดลับการออกแบบโถงต้อนรับ, ตัวอย่างการออกแบบโถงต้อนรับ

Foyer Design เคล็ดลับเสริมความหรูหรา สร้างความประทับใจตั้งแต่ก้าวแรก

หากกล่าวถึง ‘โถงต้อนรับ’ ส่วนมากเรามักจะคุ้นเคยกับล็อบบี้ในโรงแรมหรือรีสอร์ท ที่มีการตกแต่งหรูหราโอ่อ่า ชวนสะดุดตาตั้งแต่แรกพบ แต่หากลองสังเกตสถาปัตยกรรมจากทั่วทุกมุมโลก เราจะพบว่าพื้นที่โถงต้อนรับยังเป็นที่นิยมสำหรับการออกแบบบ้านเช่นกัน 

โถงต้อนรับ, Genkan, Foyer, การออกแบบโถงต้อนรับ, เคล็ดลับการออกแบบโถงต้อนรับ, ตัวอย่างการออกแบบโถงต้อนรับ

อย่างบ้านเดี่ยวหรืออะพาร์ตเมนต์ส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ที่มักจะมีพื้นที่เล็ก ๆ บริเวณประตูทางเข้าบ้าน และมีระดับพื้นต่ำกว่าพื้นที่หลักของบ้านเล็กน้อย เรียกว่า Genkan (เก็นคัง) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้สำหรับเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้า-ออกบ้าน หรือเป็นจุดรอสำหรับแขกผู้มาเยือน ข้อดีของการมี Genkan อยู่หน้าทางเข้าคือ ช่วยป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกจากข้างนอก ที่สามารถเล็ดลอดเข้าไปในพื้นที่หลักของบ้านได้ ถือเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของบ้านที่บ่งบอกถึงความพิถีพิถันและเป็นระเบียบของคนญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจน 

ในประเทศทางฝั่งตะวันตกเองก็มีโถงต้อนรับของบ้านเช่นกัน โดยโถงนี้จะถูกเรียกว่า Foyer (ฟัว-เย) ซึ่งเป็นศัพท์ที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการออกแบบ หมายถึงพื้นที่โถงต้อนรับในอาคารทุกประเภท ซึ่ง Foyer จะทำหน้าที่เป็นจุดเปลี่ยนผ่านระหว่างนอกบ้านและในบ้าน ที่กั้นความเป็นส่วนตัวให้กับพื้นที่ด้านใน ช่วยให้เรามีเวลาเตรียมพร้อมก่อนออกจากบ้าน รวมถึงปรับโหมดอารมณ์ให้ผ่อนคลายหลังจากกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นดีไซน์ของ Foyer ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ ยังสามารถสร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนเช่นเดียวกัน และนี่คือไอเดียตกแต่งบ้านให้สวยมัดใจได้ตั้งแต่แรกพบที่เรานำมาฝากวันนี้กัน

จัดระเบียบให้ทางเดินด้วยชั้นวางของ Built-in

ชั้นวางรองเท้าเป็นของที่มาคู่กับประตูทางเข้าบ้านเสมอ แม้บางครั้งเราจะจัดรองเท้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่สุดท้ายก็ไม่วายกลับมายุ่งเหยิงอีกรอบ ซึ่งชั้นวางรองเท้าหรือชั้นวางแบบ Built-in ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยจัดการมุมนี้ได้ดี โดยดีไซน์ตู้ให้สูงตั้งแต่พื้นจรดเพดานและยาวตลอดทั้งแนว ทำให้ดูเรียบเนียนราวกับเป็นผนังอีกชั้น ตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและฟังก์ชัน รวมถึงอาจมีการตกแต่งด้วยลูกเล่นต่าง ๆ เข้าไปให้เกิดความน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น การกรุกระจกเงาอีกชั้น ทำให้บ้านดูเรียบหรู และสามารถใช้ตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน, การทาสีสันที่ชื่นชอบ เพื่อสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา, การฝังไฟหลืบด้านในหรือด้านใต้ตู้ ทำให้บ้านดูทันสมัยและเอื้อต่อการใช้งานทุกช่วงเวลา เป็นต้น

เต็มเติมความสะดวกสบายด้วยเก้าอี้สตูลยาว

หลายคนอาจไม่คุ้นชินกับการใช้เก้าอี้สตูลยาวหรือม้านั่ง เนื่องจากเป็นที่นิยมในฝั่งประเทศทางตะวันตกมากกว่าประเทศทางตะวันออกอย่างไทยเรา แต่หากกล่าวถึงประโยชน์ในเชิงการใช้งานแล้ว เก้าอี้สตูลถือเป็นฟังก์ชันที่ตอบโจทย์กับโถงต้อนรับอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุ หรือสำหรับใครที่มีรองเท้าหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเก้าอี้สตูลจะช่วยให้เราสามารถนั่งใส่รองเท้าได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องนั่งพื้นให้เสื้อผ้าสกปรก รวมถึงสามารถใช้เป็นที่นั่งพักคอยสำหรับแขกที่เข้ามารอบริเวณโถงต้อนรับได้เช่นกัน และความสูงที่เหมาะสมสำหรับเก้าอี้สตูล จะสูงจากพื้นประมาณ 40 เซนติเมตร ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าความสูงของเก้าอี้ทั่วไปเล็กน้อย 

จัดแต่งแสงไฟอย่างเหมาะสม เพื่อปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลาย

หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับสภาพอากาศทั้งร้อนทั้งชื้นจากภายนอกมาทั้งวัน การได้กลับบ้านมาพักผ่อนคงเป็นสวรรค์ของใครหลาย ๆ คน แต่หากเปิดประตูเข้ามาแล้วพบกับความมืดสนิททันที อาจทำให้ความรู้สึกดีใจแปรเปลี่ยนกลายเป็นความหว้าเหว่ โหวงเหวงใจแทนได้ ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงระดับแสงโดยฉับพลันสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพตาได้เช่นกัน ดังนั้นโถงต้อนรับที่เป็นพื้นที่ระหว่างภายในและภายนอกบ้าน จึงควรมีการตกแต่งแสงไฟเพื่อปรับอารมณ์และสายตา ให้ร่างกายของเราค่อยๆ เข้าสู่โหมดพักผ่อน ซึ่งหากใครต้องการขับเน้นบรรยากาศให้ผ่อนคลายและทันสมัย ควรใช้ประเภท ‘ไฟหลืบ ไฟซ่อน’ เป็นจุดเด่น เพราะแสงที่ส่องกระจายออกมาจะดูนุ่มนวล เบาสบาย ในขณะเดียวกันหากต้องการสร้างภาพจำที่ชวนสะดุดตา การใช้โคมไฟที่มีดีไซน์โดดเด่นก็เป็นที่นิยมไม่แพ้กัน นอกจากนี้สีของแสงไฟที่เหมาะสมสำหรับโถงต้อนรับ ยังสามารถใช้ได้ทั้งแสงไฟสี Warm white ที่ให้บรรยากาศอบอุ่น หรูหรา และสี Natural white ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ เข้าได้กับบ้านทุกสไตล์

เปิดรับความสดชื่นจากต้นไม้ ช่วยเติมพลังบวกให้กับทุกวัน

การออกแบบสวนคอร์ทยาร์ดไว้บริเวณโถงทางเข้าก็เป็นอีกหนึ่งความน่าสนใจ ที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้แสงแดดและอากาศธรรมชาติไหลเวียนเข้าสู่ตัวบ้านได้อย่างปลอดโปร่ง ทำให้บรรยากาศภายในบ้านมีความร่มรื่น อยู่สบายตลอดทั้งวัน ทั้งยังสามารถออกแบบให้เป็นจุดเด่นของบ้านได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการปลูกไม้ยืนต้นที่มีรูปทรงสวยงาม เพื่อใช้เป็นจุดโฟกัสดึงดูดสายตาและสร้างร่มเงาขนาดใหญ่ และปลูกไม้พุ่ม ไม้ยืนต้นขนาดเล็กหรือไม้คลุมดิน เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ และเสริมภาพรวมของสวนให้สวยงาม สำหรับชนิดพืชพรรณที่ใช้นั้นจะขึ้นอยู่กับสไตล์สวนที่เราต้องการ ความสะดวกในระหว่างการขนย้าย และการดูแลรักษาทั้งก่อนและหลังปลูกต้นไม้ สำหรับบ้านที่มีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อการออกแบบสวนคอร์ทยาร์ด ก็สามารถเปลี่ยนมาตกแต่งด้วยไม้กระถางก็ได้เช่นกัน 

GIESTA DOOR เปิดประตูสู่คุณภาพชีวิตที่ดีของครอบครัว

นอกจากโถงต้อนรับแล้ว ‘ประตูหน้าบ้าน’ ถือด่านแรกสุดที่เราพบเจอเมื่อจะเข้าบ้าน การใช้ประตูที่สัมผัสได้ถึงคุณภาพระดับไฮคลาสตั้งแต่แรกพบ ก็เป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกถึงคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัยได้เช่นกัน อย่างประตูโลหะสำเร็จรูปลายไม้ รุ่น GIESTA จาก TOSTEM ที่ตอบโจทย์บ้านทุกสไตล์ ด้วย 4 รูปแบบดีไซน์และ 7 สีสันของประตูให้เลือกตามสไตล์ที่ชอบ โดดเด่นด้วยฟังก์ชันมือจับที่ใช้งานง่าย มาพร้อมกับระบบป้องกันความปลอดภัยสูง ที่ติดตั้งตัวล็อกหลายจุด สามารถป้องกันผู้บุกรุกอย่างแน่นหนา และมีซีลยางรอบวงกบ ที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากประตูหนีบ ทั้งยังป้องกันการรั่วซึมของน้ำ, ความร้อนและเสียงรบกวนจากข้างนอกได้ดี 

โถงต้อนรับ, Genkan, Foyer, การออกแบบโถงต้อนรับ, เคล็ดลับการออกแบบโถงต้อนรับ, ตัวอย่างการออกแบบโถงต้อนรับ

ที่สำคัญประตู GIESTA ยังมีนวัตกรรมพิเศษ GIESTA AIRFLOW ซึ่งเป็นหน้าต่างระบายอากาศแบบฝังในบาน มาพร้อมกับมุ้งกันแมลง ที่ช่วยสร้างการไหลเวียนอากาศที่ดีภายในบ้าน ช่วยระบายความร้อน ความชื้น หรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป และแทนที่ด้วยลมธรรมชาติจากข้างนอก ทำให้บ้านเย็นสบายตลอดทั้งวัน ช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าไปอีกขั้น 

โถงต้อนรับ, Genkan, Foyer, การออกแบบโถงต้อนรับ, เคล็ดลับการออกแบบโถงต้อนรับ, ตัวอย่างการออกแบบโถงต้อนรับ

การเลือกประตูหน้าบ้านและการออกแบบโถงทางเข้าที่ดี ไม่เพียงแค่สร้างความประทับใจแก่แขกผู้มาเยือนเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความสุขให้กับผู้อยู่อาศัย ผ่านดีไซน์และฟังก์ชันที่อำนวยความสะดวกให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับวันใหม่ และต้อนรับการกลับบ้านอย่างอบอุ่นและผ่อนคลาย ดังนั้น TOSTEM จึงตั้งใจออกแบบทุกผลิตภัณฑ์ด้วยความใส่ใจ และตรวจสอบกระบวนการผลิตอย่างเข้มงวด เพื่อให้ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน 

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมจากแบรนด์ TOSTEM สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย

รู้จักกฎหมาย ‘ระยะร่นอาคารและส่วนที่เว้นว่าง’ ที่ช่วยให้สร้างบ้านห่างจากเขตที่ดินอย่างเหมาะสม

ก่อนที่สถาปนิกจะลงมือวาดเขียนแบบ นอกจากจะต้องทำความเข้าใจกับโจทย์จากเจ้าของบ้านแล้ว อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการสำรวจพื้นที่ไซต์ก่อสร้างจริง เพื่อหาระดับความสูงของพื้นดิน สังเกตบริบทรอบข้าง และวัดระยะจากเขตที่ดิน เพื่อนำไปคำนวณพื้นที่ใช้สอย และเขียนแปลนบ้านได้อย่างแม่นยำ สำหรับใครที่อยากทราบว่า ควรสร้างบ้านห่างจากเขตที่ดินเท่าไรถึงจะเหมาะสม ไม่มีปัญหากับเพื่อนข้างบ้าน วันนี้เราจะชวนมารู้จักกับกฎหมาย ‘ระยะร่นอาคารและส่วนที่เว้นว่าง’ ที่จะเป็นตัวกำหนดระยะห่างในการก่อสร้างกัน

กฎหมายระยะร่นอาคารและส่วนที่เว้นว่าง สำหรับอาคาร Low Rise และ High Rise

ระยะร่นอาคารและส่วนที่เว้นว่าง เป็นคำศัพท์ที่ใช้เรียกระยะห่างระหว่างตัวอาคารกับพื้นที่รอบๆ โดย ‘ระยะร่นอาคาร’ คือ ระยะห่างที่วัดจากถนนสาธารณะจนถึงแนวอาคาร และ ‘ส่วนที่เว้นว่าง’ คือ ระยะห่างที่วัดจากแนวเขตที่ดินจนถึงแนวตัวอาคาร ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง ซึ่งระยะร่นอาคารและส่วนที่เว้นว่าง จะถูกกำหนดให้มีระยะห่างแตกต่างกันไป ตามความสูงของอาคารในกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2543 โดยมีการจำแนกดังนี้

  • อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร (ประมาณ 1-2 ชั้น) และมีช่องเปิดอาคาร อย่างประตู, หน้าต่าง, ช่องแสง, ช่องระบายอากาศ หรือระเบียง จะต้องเว้นระยะห่างจากเขตที่ดินอย่างน้อย 2 เมตร
  • อาคารที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่เกิน 23 เมตร (ประมาณ 3-8 ชั้น) และมีช่องเปิดอาคาร จะต้องเว้นระยะห่างจากเขตที่ดินอย่างน้อย 3 เมตร
  • อาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป และอาคารขนาดใหญ่พิเศษ จะต้องเว้นระยะห่างจากเขตที่ดินอย่างน้อย 6 เมตร
  • อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร และด้านไหนที่ไม่มีช่องเปิดอาคาร ด้านนั้นสามารถสร้างห่างเขตที่ดินได้น้อยกว่า 1 เมตร แต่หากต้องการเว้นระยะห่างจากเขตที่ดินน้อยกว่า 50 เซนติเมตร จะต้องได้รับหนังสือความยินยอมจากเจ้าของที่ดินที่ติดกันด้วย

สำหรับการเว้นระยะร่นจากถนนสาธารณะนั้น จะพิจารณาจากความกว้างของถนน แทนความสูงของอาคาร โดยถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 6 เมตร ต้องร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 3 เมตร, ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนอย่างน้อย 6 เมตร, ถนนสาธารณะที่มีความกว้าง 10-20 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากถนนอย่างน้อย 1 ใน 10 ของความกว้างถนน และถนนสาธารณะที่มีความกว้างมากกว่า 20 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะอย่างน้อย 2 เมตร

หากที่ดินของเราติดกับแหล่งน้ำสาธารณะ เช่น แม่น้ำ, คู, คลอง, ลำน้ำ และแหล่งน้ำนั้นมีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ต้องร่นแนวอาคารห่างจากแหล่งน้ำอย่างต่ำ 3 เมตร แต่หากแหล่งน้ำนั้นมีความกว้างมากกว่า 10 เมตรขึ้นไป จะต้องร่นแนวอาคารห่างจากแหล่งน้ำอย่างต่ำ 6 เมตร 

หากต้องการสร้างอาคารใกล้ชิดกับเขตที่ดิน มีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง ?

หากใครที่ต้องการสร้างอาคารใกล้ชิดกับเขตที่ดิน น้อยกว่าระยะห่างตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็สามารถทำได้ 2 วิธี โดยวิธีแรกคือ การทำเป็นผนังทึบทั้งหมด ไม่มีช่องเปิด ซึ่งเหมาะกับพื้นที่ที่ได้รับแสงจากช่องเปิดด้านอื่นเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีช่องแสงในด้านนั้น หรือเป็นด้านที่ต้องการโชว์ความสวยงามของลวดลายผนัง หรือมีงานศิลปะติดตั้งบนผนัง 

วิธีที่สองคือ ใช้บล็อกแก้วสำหรับเป็นช่องแสง ตามที่กฎกระทรวงฉบับที่ 68 พ.ศ. 2563 ได้กำหนดไว้ให้รวมเป็น ‘ผนังทึบ’ โดยจะต้องมีลักษณะความหนาของบล็อกแก้ว ไม่น้อยกว่า 9 เซนติเมตร ก่อสูงจากระดับพื้นของห้อง 1.8 เมตรขึ้นไป และบล็อกแก้วจะต้องมีพื้นที่รวมกันไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ผนังในด้านนั้นๆ 

เลือกหน้าต่างอย่างไร ให้ตอบโจทย์กับกฎหมายและการใช้งาน ?

แม้ว่าจะมีระยะห่างจากเขตที่ดินเพียงพอในการติดตั้งประตู-หน้าต่างถูกตามกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบานเปิดทุกชนิดจะเหมาะสมกับการใช้งานเสมอไป ในกรณีที่มีทางเดินข้างบ้านใกล้ชิดติดกับผนังอาคารชั้นล่าง หน้าต่างบานเปิดหรือบานกระทุ้งอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร เพราะเมื่อเปิดบานออกไปแล้ว อาจชนกับผู้ที่อยู่นอกบ้านจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นหน้าต่างบานเลื่อนและบานฟิกซ์จึงมีความเหมาะสมมากกว่า

ซึ่งหลายคนมักเลือกหน้าต่างบานเลื่อนมากกว่าบานฟิกซ์ เนื่องจากบานฟิกซ์ไม่สามารถเปิดรับลมธรรมชาติข้างนอกได้ เหมือนบานหน้าต่างชนิดอื่นๆ จึงทำให้หลายคนมองข้ามไป แต่ความจริงแล้วบานฟิกซ์ เป็นหน้าต่างที่ตอบโจทย์กับข้อจำกัดของดีไซน์ ฟังก์ชัน และบริบทรอบอาคารได้ดี เพราะสามารถเป็นได้ทั้งช่องแสงสำหรับผนังที่อยู่สูง ไม่สามารถเอื้อมไปเปิด-ปิดได้, สามารถนำมาออกแบบประกอบกับหน้าต่างชนิดอื่นๆ หรือเป็นเสมือนผนังโปร่งใส ที่สามารถสั่งทำเป็นผืนขนาดใหญ่ เปิดรับทัศนียภาพแบบพาโรนามา โดยไม่มีเส้นกรอบของหน้าต่างบดบัง ในขณะที่สามารถป้องกันการเข้าถึงจากข้างนอกได้ในเวลาเดียวกัน

มากไปกว่านั้นด้วยคุณสมบัติของบานหน้าต่างอะลูมิเนียม TOSTEM ที่ทนทานต่อสภาพอากาศทุกรูปแบบ สามารถป้องกันรังสียูวีและความร้อน, ต้านทานแรงลมได้สูงถึง 2000 Pascal, มีระบบป้องกันน้ำฝนในโปรไฟล์กรอบล่าง หมดกังวลเรื่องน้ำฝนรั่วซึม, สามารถลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ถึง 25 เดซิเบล และมาพร้อมกับหลากหลายโทนสีอะลูมิเนียม ที่เข้าได้กับงานออกแบบอาคารทุกสไตล์ ยิ่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยสามารถดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ บ้าน ผ่านกระจกบานฟิกซ์ได้อย่างปลอดภัยและรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัวสูงสุด 

กฎหมายกำหนดระยะร่นอาคารและส่วนที่เว้นว่างไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้อาคารและผู้ใช้ถนนสาธารณะ รวมถึงเพื่อความสวยงามและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของชุมชน ระยะร่นจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของอาคารและบริบทของพื้นที่

หากสนใจสินค้าประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ที่มีหลากหลายดีไซน์ ตอบโจทย์กับทุกข้อจำกัดของพื้นที่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย

สูตร 60-30-10 คุมโทนห้องให้ลงตัว ไม่กลัวตกเทรนด์

เคยสงสัยไหมว่าบ้านที่มีสีสันสวยงามลงตัว จะมีเคล็ดลับการออกแบบอย่างไรบ้าง ?

ในความจริงแล้วทุกสีสันล้วนมีเสน่ห์ในตัวเอง โดยแต่ละสีสามารถส่งผลต่อความรู้สึกแตกต่างกันออกไป ตามหลักจิตวิทยาของสี (Color Psychology) เช่น สีแดง เป็นสีที่สามารถดึงดูดความสนใจมากที่สุด บ่งบอกถึงความมีอำนาจ ความน่าตื่นเต้นเร้าใจ, สีเหลือง บ่งบอกถึงความสนุกสนาน ช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์, สีน้ำเงิน แสดงถึงความสุขุม น่าเชื่อถือ ซึ่งการจะเลือกสีเหล่านี้มาตกแต่งบ้านให้เหมาะสม นอกจากจะคำนึงเรื่องอารมณ์ของสีแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับ ‘สัดส่วนของสี’ ที่เป็นคีย์สำคัญในการจัดสีบ้านให้ดูสวยงามราวกับมืออาชีพ   

จะเฉดสีไหน สูตร 60-30-10 ก็เอาอยู่ !

เมื่อไหร่ที่ต้องการเลือกสี ให้นึกถึงทฤษฎี 60-30-10 เสมอ ! เพราะทฏษฎีนี้จะช่วยในการควบคุมสัดส่วนสีให้สมดุล ซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกเฉดสี ไม่ว่าคุณจะชอบโทนสีเรียบง่าย ดูโปร่งโล่งสบายตา หรือโทนสีจัดจ้าน โดดเด่นไม่เหมือนใคร ก็สามารถมิกซ์แอนด์แมทช์สีให้ออกมาลงตัวได้อย่างมีมิติ โดยขั้นตอนแรกเริ่มจากเลือกสีที่ชื่นชอบอย่างน้อย 3 สี ที่มีโทนสีใกล้เคียงกันหรือตรงข้ามกันก็ได้ นำมาแบ่งอัตราส่วน ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

  • สีหลัก 60% เป็นกลุ่มสีที่ครอบคลุมพื้นที่ภายในห้องมากที่สุด มักใช้กับพื้น, ผนัง, ฝ้าเพดาน หรือวัตถุที่มีขนาดใหญ่ จึงเหมาะกับการตกแต่งด้วยสีโทนอ่อนหรือสีขาว เพื่อทำให้แสงกระจายภายในห้องอย่างทั่วถึง ทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง สบาย
  • สีรอง 30% เป็นกลุ่มสีที่ช่วยสร้างมิติให้กับดีไซน์ ทำให้บ้านดูไม่เรียบแบนเกินไป มักใช้กับบานกรอบประตู-หน้าต่าง, ผ้าม่าน, พรม, เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ โดยสามารถใช้สีโทนเดียวกับสีหลัก แต่มีความเข้มมากกว่า หรือจะใช้สีโทนคู่ตรงข้ามก็ได้เช่นกัน
  • สีไฮไลต์ 10% เป็นกลุ่มสีที่ใช้สำหรับสร้างความโดดเด่นให้กับวัตถุหรือพื้นที่ ที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่มักใช้กับของตกแต่งบ้านหรือเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์สะดุดตา เช่น งานศิลปะ, แจกัน, หมอน, โคมไฟ เป็นต้น เพื่อทำให้ภาพรวมของห้องมีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น หลายคนจึงนิยมใช้สีคู่ตรงข้าม หรือสีที่มีโทนเข้มสูง เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างบรรยากาศโดยรวมอย่างชัดเจน

ในกรณีที่ต้องการเลือกใช้มากกว่า 3 สี ควรจัดสีที่มีโทนใกล้เคียงกันไว้ในหมวดหมู่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ง่ายต่อการแบ่งออกเป็น 3 ส่วนตามหลักทฤษฎี 60-30-10  เช่น หากต้องการตกแต่งด้วยสีน้ำตาล-สีดำ-สีเทาอ่อน-สีขาว ก็สามารถจัดสีขาวและเทาอ่อนเป็นสีหลัก ใช้สีดำเป็นสีรอง และสีน้ำตาลเป็นสีไฮไลต์ หรือจะสลับสีให้สีน้ำตาลเป็นสีรอง และสีดำเป็นสีไฮไลต์ก็ได้เช่นกัน

สร้างบรรยากาศให้ละมุนด้วยสีโมโนโทน

สำหรับใครที่ชื่นชอบความเรียบง่าย แต่ไม่อยากให้ดีไซน์ดูเรียบแบน เราขอแนะนำให้เลือกใช้สีโมโนโทน (Monotone color) ซึ่งเป็นสีที่มีโทนใกล้เคียงกัน หรือเป็นสีโทนเดียวที่มีความเข้มหลายระดับ ในการตกแต่งห้องให้มีบรรยากาศผ่อนคลาย สว่าง สดใส และดูกว้างขวางยิ่งขึ้น เหมาะกับการใช้ในทุกส่วนของบ้าน โดยเฉพาะห้องที่มีพื้นที่แคบ อย่างการใช้สีขาวและสีครีมอ่อนเป็นสีหลัก ในการตกแต่งพื้น ผนังและฝ้าเพดาน เพื่อทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง ใช้สีเบจและสีเทาสำหรับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เพื่อเสริมมิติให้กับความสวยงาม ปิดท้ายด้วยการใช้สีดำสำหรับประตู-หน้าต่าง เพื่อขับเน้นดีไซน์ของบานกรอบให้เป็นจุดเด่นของบ้าน ทั้งยังช่วยดึงความน่าสนใจของวิวทิวทัศน์รอบบ้าน ให้ชวนสะดุดตามากขึ้นในเวลาเดียวกัน

เพิ่มลูกเล่นให้บ้านดูมีชีวิตชีวาด้วยสีคู่ตรงข้าม

หลายคนอาจคิดว่าการตกแต่งบ้านด้วยสีที่จัดจ้านหรือสีโทนคู่ตรงข้ามนั้นเป็นเรื่องยาก แต่หากใช้ในสัดส่วนที่เหมาะสมก็สามารถทำให้บ้านสวยงามได้เช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วสีที่โดดเด่นหรือมีความเข้มมากที่สุดมักถูกใช้เป็นสีไฮไลต์ สำหรับสีคู่ตรงข้ามของสีไฮไลต์จะถูกใช้เป็นสีรอง และจะใช้สีที่อ่อนที่สุดเป็นสีหลัก สาเหตุที่เราควรใช้สีคู่ตรงข้ามในสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน เนื่องจากป้องกันการเกิดความรู้สึกขัดแย้งของสี ที่จะนำมาสู่บรรยากาศน่าอึดอัดและรู้สึกไม่สบายตา โดยสีที่นำมาจับคู่กัน ไม่จำเป็นต้องใช้สีคู่ตรงข้ามเสมอไป อาจจะเลือกจากสีที่ชื่นชอบจากโทนร้อน-โทนเย็น ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนก็เพียงพอ ยกตัวอย่างเช่น การจับคู่สีน้ำเงินกับวัสดุโทนสีเหลือง อย่างไม้เมเปิ้ลหรือโอ๊ค แทนการใช้สีส้มซึ่งเป็นสีคู่ตรงข้ามของสีน้ำเงิน

Anodized Color สีอะลูมิเนียมที่อยู่คู่บ้านอย่างยาวนาน

นอกจากการเลือกโทนสีและจัดสัดส่วนอย่างเหมาะสมแล้ว การเลือกวัสดุพรีเมียมที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ไม่หลุดร่อนหรือผุกร่อนง่าย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคำนึงควบคู่อยู่เสมอ อย่างผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมของ TOSTEM ที่ผ่านกระบวนการทำสีอะโนไดซ์ (Anodized) ซึ่งเป็นการนำอะลูมิเนียมไปชุบสีด้วยประจุไฟฟ้า จนเกิดเป็นชั้นฟิล์มอะลูมิเนียมออกไซด์ พร้อมเคลือบอีกชั้นด้วย TEXGUARD ทำให้พื้นผิวมีความแข็งแรง ทนทานต่อการขูดขีด และมีสีติดทนนานกว่าการทำสีทั่วไป สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมได้อย่างอยู่หมัด

ปัจจุบันประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมของ TOSTEM มีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ NATURAL WHITE, NATURAL SILVER, SHINE GRAY, AUTUMN BROWN, DUSK GRAY และ NATURAL BLACK ซึ่งสามารถเข้ากันกับดีไซน์บ้านและอาคารได้ทุกสไตล์ ทุกเฉดสี มาพร้อมกับผิวสัมผัสอะลูมิเนียมที่เนียนเรียบ ไร้ตำหนิ ส่งผลให้ทำความสะอาดได้ง่าย ช่วยลดการสะสมของคราบฝุ่นทั้งภายในและภายนอกอาคาร เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมจาก TOSTEM ที่ตอบโจทย์ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันการอยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

หากสนใจสินค้าประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ที่เหมาะสมกับ การใช้งานของเด็ก และอยู่คู่กับการเติบโตของครอบครัวได้อย่างยาวนาน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย

Kid-Friendly Home ออกแบบบ้านอย่างไรให้เหมาะสมกับเด็ก

หากเด็กๆ ได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ปลอดภัย และมีอิสระในการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็นรากฐานที่ดี ที่นำไปสู่ความมั่นคงทางอารมณ์ และการมีความคิดสร้างสรรค์เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ การจัดเตรียมบ้านให้พร้อมสำหรับลูกน้อยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ทุกคนควรใส่ใจ และแน่นอนว่าเมื่อเด็กๆ มีความสุขแล้ว ผู้ใหญ่ก็จะได้รับพลังบวกจากความสดใสเหล่านั้นไปด้วยเช่นกัน สำหรับบ้านไหนที่กำลังเตรียมต้อนรับสมาชิกตัวน้อย วันนี้เรามีไอเดียการออกแบบบ้านให้เหมาะสมกับเด็กมาฝากกัน 

Kid-Friendly Home ออกบ้านอย่างไรให้เหมาะสมกับเด็ก

ระยะความสูงของเฟอร์นิเจอร์เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัย

เมื่อถึงวัยอยากรู้อยากเห็น เด็กๆ ก็มักเริ่มที่จะลองปีนป่ายหรือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง การตกจากที่สูงถือเป็นอุบัติเหตุที่พบบ่อยสำหรับเด็ก การจะดูแลลูกน้อยให้อยู่ในระยะปลอดภัยได้นั้น สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึงคือการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีขนาดเหมาะสมกับร่างกายเด็ก เพราะหากเฟอร์นิเจอร์สูงเกินไปอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุกับเด็กๆ ได้ ในขณะเดียวกันหากเฟอร์นิเจอร์เตี้ยเกินไป ก็จะทำให้ใช้งานไม่สะดวกเช่นกัน สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันและมักเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ อย่างโต๊ะ-เก้าอี้จึงควรมีการกำหนดระยะความสูง ที่เหมาะกับการใช้งานของเด็กแต่ละช่วงวัย

  • เด็กวัย 3-4 ปี ควรใช้โต๊ะสูงประมาณ 46 เซนติเมตร เก้าอี้สูง 26 เซนติเมตร
  • เด็กวัย 4-5 ปี ควรใช้โต๊ะสูงประมาณ 53 เซนติเมตร เก้าอี้สูง 31 เซนติเมตร
  • เด็กวัย 6-7 ปี ควรใช้โต๊ะสูงประมาณ 59 เซนติเมตร เก้าอี้สูง 35 เซนติเมตร
  • เด็กวัย 8-10 ปี ควรใช้โต๊ะสูงประมาณ 64 เซนติเมตร เก้าอี้สูง 38 เซนติเมตร
  • เด็กวัย 11-13 ปี ควรใช้โต๊ะสูงประมาณ 71 เซนติเมตร เก้าอี้สูง 43 เซนติเมตร

สำหรับเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป สามารถใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีความสูงเดียวกันกับผู้ใหญ่ได้ แต่อาจมีการเสริมเบาะที่รองนั่งเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกมากขึ้น

ปรับระดับพื้นเรียบสม่ำเสมอ ให้ลูกน้อยวิ่งเล่นได้ไม่มีสะดุด

เด็กที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป มักสนใจที่จะเรียนรู้ผ่านการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งการเดินหรือวิ่งเล่นอย่างมีอิสระ ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยให้ร่ายกายเด็กแข็งแรง สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ดี ควบคู่กับการพัฒนาด้านสมอง เพราะฉะนั้นบ้านก็ต้องเตรียมสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการวิ่งเล่นได้อย่างต่อเนื่องโดยอาจจะออกแบบพื้นให้มีระดับเท่ากันในพื้นที่ที่เด็กใช้งานบ่อยเช่น ห้องนั่งเล่น, ห้องรับประทานอาหาร, ห้อง Playroom หรือห้องนอนเด็ก รวมถึงการเลือกใช้ประตู-หน้าต่างที่มีรางวงกบล่างเรียบเสมอไปกับพื้นรอบๆ อย่างประตู-หน้าต่างรุ่น GRANTS จาก TOSTEM ที่มาพร้อมกับดีไซน์ ‘รางบานเลื่อนแบบเรียบ’ สามารถติดตั้งเสมอระดับพื้นภายในและภายนอกบ้าน มอบความสวยงามอย่างไร้ขอบเขต ทำให้สามารถเดินหรือวิ่งผ่านได้โดยไม่สะดุด รวมถึงประตู-หน้าต่างบานเลื่อนรุ่น ATIS ที่มีอุปกรณ์เสริมอย่าง ‘ฝาครอบรางแบบเรียบ’ สำหรับปิดร่องของบานเลื่อน ที่ติดตั้งได้ทั้งรางในและรางนอกของบานกรอบล่าง ทั้งยังสามารถถอดออกได้เสมอเมื่อต้องการปิดบานเลื่อน

นอกจากการประตู-หน้าต่างที่เรียบเสมอไปกับพื้นจะส่งผลดีต่อการวิ่งเล่นของเด็กแล้ว ยังเป็นการอำนวยความสะดวกกับรถเข็นเด็กทารกและรถเข็นผู้สูงอายุอีกเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นดีไซน์ที่ตอบโจทย์กับความปลอดภัยของทุกคนในบ้านเลยทีเดียว

เลือกวัสดุนุ่มนิ่ม ลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ

เพื่อป้องกันลูกน้อยไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการโดนของมีคมบาดหรือการกระแทกกับสิ่งของ การเลือกใช้วัสดุของเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งห้องที่มีผิวสัมผัสนุ่มและยืดหยุ่น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยลดการเกิดผลกระทบอันตรายได้ อย่างการปูพื้นกันกระแทกด้วยแผ่นยาง PVC หรือแผ่นโฟม PE, การใช้เฟอร์นิเจอร์ทำจากพลาสติก ที่มีความแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย รวมถึงมีรูปทรงโค้งมนจากการถูกลดเหลี่ยมมุม เพื่อป้องกันการบาดผิว สำหรับโต๊ะทั่วไปหรือเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ที่ไม่มีการลดเหลี่ยมมุม ก็สามารถติดตั้งยางหรือโฟมกันกระแทกขอบโต๊ะ เพื่อเสริมเกราะป้องกันจากอุบัติเหตุได้เช่นกัน, การหุ้มหัวเตียง เก้าอี้ โซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ด้วยผ้าที่มีผิวสัมผัสอ่อนโยนต่อผิวเด็ก อย่างผ้าฝ้าย ผ้าใยไผ่ และผ้ากำมะหยี่ โดยหากพ่อแม่ท่านใดสนใจวัสดุชนิดนี้ อาจต้องหมั่นดูแลทำความสะอาดเป็นประจำ เพื่อลดการสะสมของฝุ่น ซึ่งเป็นตัวการที่นำไปสู่โรคภูมิแพ้ในเด็กได้

สร้างพื้นที่สนุกด้วยดีไซน์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก

ในช่วงวัยอายุ 1-3 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มเป็นตัวของตัวเอง ชอบอิสระ มีพัฒนาการทางด้านร่างกาย สมองและอารมณ์อย่างรวดเร็ว จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ ดังนั้นหากมีการกระตุ้นให้ลูกได้สำรวจและรู้จักสิ่งใหม่ๆ จะเป็นการช่วยให้สมองสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 3-5 ปี เด็กจะสามารถควบคุมอารมณ์และมีทักษะร่างกายเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ แต่ในขณะเดียวกันเด็กในวัยนี้ก็มีจินตนาการสูง  ชอบซักถามพูดคุย เพราะฉะนั้นการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวควรใส่ใจเป็นอย่างมาก

สำหรับการออกแบบที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการเหล่านี้ได้นั้น ขั้นแรกควรเริ่มเลือกตกแต่งห้องด้วยสีสันสดใส เพื่อดึงดูดความสนใจของเด็กๆ และทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวามากขึ้น ในส่วนของรูปทรงเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งต่างๆ ภายในห้อง นอกจากจะใช้ตัวละครจากการ์ตูนเรื่องโปรดของลูกน้อยแล้ว เราขอแนะนำให้ลองใช้รูปทรงโค้งมน หรือโค้งอิสระในการออกแบบ เพราะความโค้งของเส้นสายจะทำให้เด็กรู้สึกถึงความมีอิสระ ชวนให้คิดจินตนาการต่อยอด รวมถึงช่วยป้องกันอันตรายจากการกระแทกกับขอบเช่นกัน 

Kid-Friendly Home ออกบ้านอย่างไรให้เหมาะสมกับเด็ก

นอกจากนี้อาจมีการออกแบบพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างมุมโต๊ะอ่านหนังสือ ที่ให้ลูกน้อยได้พัฒนาสมองและกล้ามเนื้อมัดเล็ก จากการขีดเขียน วาดรูปง่ายๆ หรือการสร้างชั้นลอยให้กลายเป็นพื้นที่เล่นสนุกขนาดย่อม ที่ให้เด็กๆ ได้วิ่งเล่น กระโดด ปีนป่าย หรือเล่นบทบาทสมมติก็ได้ ทว่าการจะสร้างชั้นลอยได้นั้น ต้องมั่นใจว่าประเภทวัสดุและระยะความสูงที่ใช้นั้น มีความเหมาะสมต่อความปลอดภัยของเด็กในแต่ละช่วงวัยเสมอ

Kid-Friendly Home ออกบ้านอย่างไรให้เหมาะสมกับเด็ก

ปกป้องลูกน้อยจากฝุ่นและมลภาวะทางอากาศ

เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่แล้ว เด็กมักมีร่างกายอ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่า เพราะฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ ที่มักมาพร้อมกับฝุ่น PM 2.5, ฝุ่นควัน และมลพิษต่างๆ ในอากาศ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมปิดประตู-หน้าต่างแล้ว แต่ฝุ่นก็ยังสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ ซึ่งปัญหาเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากช่องว่างต่างๆ ของอาคารที่เราไม่ทันสังเกต โดยเฉพาะประตู-หน้าต่าง ที่มักมีรอยต่อระหว่างประตู-หน้าต่างกับผนัง, เกิดการเสื่อมของยางขอบบานกรอบ หรือมีกลไกภายในบานกรอบหลวม ไม่แข็งแรง จึงทำให้ไม่สามารถปิดประตู-หน้าต่างได้สนิท

Kid-Friendly Home ออกบ้านอย่างไรให้เหมาะสมกับเด็ก

ดังนั้นเราจึงควรเริ่มจากการเลือกใช้บานประตู-หน้าต่างคุณภาพสูง ที่สามารถปิดล็อกแน่นหนาได้ทุกส่วนตั้งแต่แรก ซึ่งผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างจาก TOSTEM นั้น ก็ได้ตอบโจทย์เรื่องนี้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติการป้องการรั่วไหลของอากาศ และการควบคุมคุณภาพอากาศภายในบ้าน ที่เกิดจากออกแบบกลไกภายในบานกรอบ ทั้งอุปกรณ์ล็อกมุมต่างๆ และการซีลยางขอบประตู-หน้าต่าง ให้สามารถปิดล็อกได้อย่างแนบสนิท นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบล็อกแน่นหนา ที่สามารถป้องกันได้ทั้งฝุ่นและผู้บุกรุกในเวลาเดียวกัน

การที่ลูกสามารถเติบโตได้อย่างดี นอกจากจะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากพ่อแม่แล้ว สิ่งแวดล้อมรอบตัวอย่างบ้านก็เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตในครอบครัวเช่นกัน ทุกองค์ประกอบของอาคารจึงต้องผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถันเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์จาก TOSTEM ที่ถูกออกแบบโดยคำนึงทุกชีวิตในบ้าน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการอยู่อาศัยทุกรูปแบบ โดยมีการรับรองคุณภาพระดับนานาชาติด้วยมาตรฐาน JIS (Japanese Industrial Standards) และมาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials)

หากสนใจสินค้าประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ที่เหมาะสมกับ การใช้งานของเด็ก และอยู่คู่กับการเติบโตของครอบครัวได้อย่างยาวนาน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

โดยทั่วไปแล้วเรามักทราบกันว่าต้นไม้ล้วนต้องการแสง น้ำ และอาหารที่เพียงพอ แต่บางครั้งพื้นที่ภายในบ้านหรือคอนโดมิเนียมกลับไม่เป็นใจต่อการปลูกต้นไม้เอาเสียเลย โดยเฉพาะพื้นที่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง และอากาศถ่ายเทไม่เพียงพอ ที่ทำให้ต้นไม้ตายง่าย หรือเจริญเติบโตไม่สวยงาม วันนี้เราจึงมาแนะนำ 10 ต้นไม้ใบประดับเติบโตได้ไม่ง้อแดด ที่จะมาเปลี่ยนทุกมุมอับของบ้าน ให้กลายเป็นมุมโปรดสุดร่มรื่นของทุกคนกัน 

01 เดหลี (Peace lily)

ไม้ประดับที่สวยงามทั้งใบและดอก โดยใบมีลักษณะรูปรี, สีเขียวเข้ม, แผ่นใบเรียบและเป็นมันวาว ดอกเดหลีจะประกอบด้วยใบประดับสีขาวนวล, มีลักษณะเป็นรูปหัวใจ, ปลายใบเรียวแหลมสวยงามและมาพร้อมกับช่อดอกเป็นแท่งทรงกระบอกตรงกลาง ซึ่งสามารถส่งกลิ่นอ่อนๆ เมื่อดอกบาน เดหลีชอบพื้นที่ชุ่มชื้นและแสงแดดรำไร หากโดนแสงแดดมากเกินไปจะทำให้ใบไหม้ได้ จึงเหมาะกับการปลูกภายในอาคารอย่างมาก หากต้องการปลูกในสวน ควรปลูกในพื้นที่ที่มีร่มเงา หรือปลูกในบริเวณที่มีความชื้นสูง อย่างสวนริมน้ำตก, บ่อปลาคาร์ฟ หรือข้างสระว่ายน้ำเป็นต้น

02 ฟิโลเดนดรอน ซานาดู (Philodendron xanadu)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

ไม้ใบประดับตระกูลฟิโลเดนดรอน ที่มีรูปร่างโดดเด่น ชวนสะดุดตา น่านำมาจับคู่กับกระถางสวยๆ สักใบ วางประดับไว้บริเวณมุมห้องหรือริมหน้าต่าง ด้วยลักษณะแตกออกเป็นแฉกลึกเกือบถึงกลางใบ มีก้านใบยาวแตกเป็นกอสวยงาม คล้ายฟิโลเดนดรอนใบมะละกอ ฟิโลเดนดรอนซานาดูชอบแสงแดดรำไร ชอบความชื้นปานกลาง แต่ไม่ควรรดน้ำจนดินแฉะเกินไป เพราะจะทำให้ต้นไม้รากเน่าตายได้ นอกจากจะนิยมปลูกในกระถางแล้ว ฟิโลเดนดรอนซานาดูยังเหมาะกับการปลูกริมทางเดิน หรือพื้นที่ริมรั้วที่มีแสงแดดไม่จัดอีกด้วย

03 เฟิร์นบอสตัน (Boston fern)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

เฟิร์นบอสตันหรือเฟินดาบ เป็นพืชที่หลายคนนิยมนำมาตกแต่งในสวนสไตล์ทรอปิคอลอย่างมาก ไม่ว่าจะนำมาปลูกในกระถางตั้งพื้น ปลูกเป็นไม้กระถางแขวน หรือปลูกลงดินเป็นแนวพุ่มก็ได้ เฟิร์นบอสตันคุณสมบัติฟอกอากาศ สามารถดูดสารพิษได้มากโดยเฉพาะสารฟอร์มาลดีไฮด์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เป็นพืชที่ชอบแสงแดดค่อนข้างมาก-รำไร สามารถปลูกได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร เพียงแต่ต้องการความชุ่มชื้นสูง จึงควรหมั่นรดน้ำหรือฉีดพ่นละอองน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาใบให้มีสีเขียวสดตลอดเวลา

04 คล้าซิการ์ (Cigar calathea)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

พืชล้มลุกที่นิยมปลูกในสวนเป็นอย่างมาก เนื่องจากปลูกได้ดีในสภาพอากาศเขตร้อน มีลักษณะใบเป็นรูปไข่ เรียงสลับระนาบเดียวกัน แผ่นใบด้านบนมีสีเขียวเข้ม มีความมันวาว เห็นเส้นใบชัดเจน มาพร้อมกับก้านใบเรียวยาวสวยงาม มีสีเขียวอ่อน-เหลือง สูงได้ถึง 2-5 เมตร โดยทั่วไปแล้วมักถูกปลูกใกล้บ่อน้ำหรือบริเวณที่มีความชื้น เนื่องจากคล้าซิการ์เป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก และยังเป็นที่นิยมปลูกประดับตามแนวรั้วเช่นกัน 

05 บัวดอย (Cast-iron plant)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

อีกหนึ่งชนิดไม้ล้มลุกที่น่าสนใจ แม้จะไม่มีสีสันและลวดลายหลากหลายก็ตาม โดยจุดเด่นของบัวดอย คือมีลักษณะใบเดี่ยว รูปรี มีก้านใบยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร แตกเป็นกอสวยงาม เป็นพืชที่ขึ้นชื่อเรื่องความอึด เนื่องจากสามารถทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ทั้งร้อนจัดและเย็นจัด ไม่ต้องดูแลบ่อยมากนัก เพียงรดน้ำเพียงเล็กน้อยประมาณ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น บัวดอยเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร-แสงน้อย มีคุณสมบัติสามารถปล่อยออกซิเจนออกมาได้มาก เนื่องจากมีใบขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงช่วยสร้างความสดชื่นให้กับบรรยากาศภายในบ้านได้ดี  

06 สาวน้อยประแป้ง (Dumb canes)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

เป็นไม้ใบประดับที่คนไทยคงคุ้นเคยกันอย่างดี เพราะเป็นที่นิยมนำมาตกแต่งทั้งภายนอกและภายในอาคารมานาน ด้วยลักษณะใบที่มีขนาดใหญ่ มีลวดลายจุดประสีขาวกระจายทั่วใบ ซึ่งบางสายพันธุ์อาจจะมีจุดสีชมพูปะปนอยู่ด้วย โดยทั่วไปแล้วพืชชนิดนี้เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร มีความชื้นสูง ในขณะเดียวกันก็ทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยในการฟอกอากาศได้ แต่มีข้อระวังสำคัญคือ ทุกส่วนของใบและลำต้นมีสารแคลเซียมออกซาเลต เมื่อสัมผัสน้ำยางจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็กและสัตว์เลี้ยง 

07 ลิ้นมังกร (Snake plant)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

อีกหนึ่งต้นไม้ที่เราพบเห็นกันบ่อย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ภายในอาคาร สวนบ้าน หรือสวนสาธารณะ เนื่องจากเป็นพืชที่โตง่าย ชอบแสงแดดปานกลาง-รำไร และทนต่ออากาศร้อนได้ดี จึงเหมาะกับเมืองไทยอย่างมาก โดยลิ้นมังกรจะมีลักษณะใบเรียวยาว ปลายใบแหลม มีหลากหลายสีสันและลวดลายตามสายพันธุ์ เช่น ลิ้นมังกรโกลเด้น, ลิ้นมังกรไหมไทย, ลิ้นมังกรงาช้าง เป็นต้น มากกว่านั้นลิ้นมังกรยังมีคุณสมบัติเด่นอีกอย่างคือ สามารถฟอกอากาศได้ และคายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืนแทนช่วงกลางวัน จึงเหมาะกับการปลูกในห้องนอนอย่างมาก ทั้งนี้ควรเลือกสายพันธุ์ที่ไม่มีหนาม เพื่อป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุจากการสัมผัส

08 เศรษฐีเรือนใน (Spider plant)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

พืชล้มลุกใบประดับ สูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร มีลักษณะใบเรียวยาว ปลายใบแหลม มีสีสันสวยงาม โดยด้านนอกริมขอบใบจะเป็นแถบสีเขียว และตรงกลางใบจะมีแถบสีเหลืองอ่อน สามารถปลูกได้ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ที่มีแสงแดดรำไร โดยทั่วไปแล้วเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตไว้ ทนแล้งได้ดี ไม่ต้องรดน้ำบ่อย สามารถรดน้ำเพียง 1 ครั้งต่ออาทิตย์ หรือรดเมื่อหน้าดินแห้ง หลายคนนิยมปลูกพืชชนิดนี้ในกระถางใบเล็กๆ วางตั้งบนโต๊ะและชั้นวางของ หรือจะปลูกเป็นไม้กระถางแขวนริมหน้าต่างก็ได้เช่นกัน

09 กวักมรกต (ZZ plant)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

เป็นต้นไม้ที่เหมาะกับมือใหม่หัดปลูกหรือคนที่ไม่มีเวลาดูแลอย่างมาก เพราะกวักมรกตเจริญเติบโตง่าย โตไว ทนแล้งได้ดีและไม่ค่อยมีโรคหรือแมลงมารบกวน จึงไม่ต้องรดน้ำหรือใส่ปุ๋ยบ่อยมากนัก เพียงรดน้ำ 1 ครั้งต่ออาทิตย์และใส่ปุ๋ย 1 ครั้งต่อเดือนก็ถือว่าเพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถฟอกอากาศได้ดี เหมาะกับนำมาประดับบนโต๊ะทำงาน ห้องนอน หรือวางตามมุมห้องต่างๆ ภายในบ้าน แต่อาจไม่เหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง เพราะมีสารแคลเซียมออกซาเลต ซึ่งก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเช่นเดียวกับต้นสาวน้อยประแป้ง

10 เสน่ห์จันทร์แดง (King of heart)

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

เนื่องจากเป็นพืชจากเขตร้อนชื้น จึงสามารถเติบโตในไทยได้ดี โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีความชื้นสูงและมีแสงแดดรำไร-น้อยมาก เสน่ห์จันทร์แดงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาก ด้วยลักษณะใบเป็นรูปหัวใจขนาดใหญ่ เส้นใบเห็นเป็นร่องชัดเจน และมีก้านสีแดงเลือดหมู มีคุณสมบัติดูดสารพิษในอากาศได้ โดยเฉพาะสารจำพวกแอมโมเนีย สามารถนำมาประดับตกแต่งได้หลากหลาย ทั้งการนำมาปลูกในกระถางเพื่อประดับภายในอาคาร และการปลูกลงดินเป็นแนวพุ่มไม้ในสวน

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

นอกจากความสดชื่นและความผ่อนคลายที่ได้รับจากเหล่าต้นไม้นานาชนิดแล้ว การเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนบรรยากาศภายในบ้านให้อยู่สบายยิ่งขึ้น เพราะการมีบานประตู-หน้าต่างที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเปิดรับแสงแดดและสายลมธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้าน ทั้งในเรื่องการควบคุมปริมาณแสงที่เหมาะสม, ช่วยระบายอากาศ, ขับไล่ความอับชื้นและความร้อนสะสมออกไป และคืนความปลอดโปร่ง โล่งสบายให้กับตัวบ้าน ซึ่งนอกจากจะส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังทำให้ต้นไม้ภายในบ้านเจริญเติบโตได้สวยงามเช่นกัน

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

บานกรอบประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ที่ตอบโจทย์เรื่องการควบคุมแสงและอากาศภายในบ้านได้ดี โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จาก TOSTEM ที่ได้คัดสรรอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ นำมาผลิตเป็นประตู-หน้าต่างคุณภาพสูง ตามมาตรฐาน JIS จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโดดเด่นด้วยคุณสมบัติความแข็งแกร่ง ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ช่วยป้องกันอันตรายและสิ่งรบกวนจากรอบบ้าน ไม่ว่าจะเป็นพายุฝน, ลมกระโชกแรง, แสงแดดจัดจ้า, ฝุ่นและมลภาวะทางอากาศ, เสียงรบกวนจากรอบข้าง หรือสัตว์แมลงต่างๆ เพื่อให้เราสามารถดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์ธรรมชาติได้ทุกช่วงเวลา ไม่มีหวั่นแม้วันอากาศไม่เป็นใจ

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

ที่สำคัญแบรนด์ TOSTEM ยังมีซีรีส์ผลิตภัณฑ์หลากหลายดีไซน์ให้เลือกสรรตามความชอบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ครบถ้วน  

GRANTS SERIES ประตู-หน้าต่างซีรีส์เรือธงของ TOSTEM ที่เน้นดีไซน์พื้นที่กระจกกว้าง เพื่อเปิดรับวิวทิวทัศน์อย่างเต็มที่ มาพร้อมระบบป้องกันน้ำรั่วซึมภายในวงกบถึง 2 ชั้น
ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ https://bit.ly/43W10JC 

ATIS SERIES สร้างการเชื่อมต่อให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น ด้วยประตู-หน้าต่างดีไซน์เรียบหรู ซ่อนเทคโนโลยีและอุปกรณ์ไว้ภายในบานกรอบ
ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ https://bit.ly/3rjY0Jk 

WE SERIES ประตู-หน้าต่างที่ใช้งานง่าย เข้าได้กับอาคารทุกรูปแบบ และสามารถติดตั้งช่องระบายอากาศพิเศษ AIRFLOW SLOT ได้ในรุ่น WE PLUS และ WE 70
ดูรายละเอียดสินค้า WE 70 ได้ที่ https://bit.ly/3pVBupH
ดูรายละเอียดสินค้าWE PLUS ได้ที่ https://bit.ly/3QvL3a0  

10 ต้นไม้ใบสวย ดูแลง่าย ไม่ง้อแดด

ผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ถูกออกแบบเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด เป็นมิตรกับผู้อยู่อาศัยและธรรมชาติทั้งภายในและภายนอกอาคาร พร้อมมอบบรรยากาศสดชื่น ผ่อนคลาย ช่วยเสริมพลังงานบวกในทุกๆ วัน


หากสนใจสินค้าประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ที่ช่วยปกป้องบ้านจากความร้อน ทนทานต่อทุกสภาพอากาศได้ดี สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย