fbpx

Tag: หน้าต่าง

หน้าต่างแบบนี้ ควรเลือกใช้ผ้าม่านแบบใด

หน้าต่างแบบนี้ ควรเลือกใช้ผ้าม่านแบบใด 

หากคุณกำลังสงสัยอยู่ว่า ผ้าม่านสำหรับหน้าต่างแบบไหน ที่จะช่วยยกระดับการตกแต่งบ้านของคุณให้มีสไตล์ ถูกใจทั้งเจ้าของบ้านและแขกที่มาเยือน ไม่อยากให้พลาดบทความนี้ เพราะผ้าม่านไม่เพียงช่วยเรื่องงานดีไซน์ แต่ผ้าม่านสำหรับหน้าต่าง ยังเป็นองค์ประกอบหนึ่งของบ้าน ที่ช่วยในการกรองแสง ป้องกันเสียงภายนอก และสร้างความเป็นส่วนตัวได้เป็นอย่างดี

6 แบบผ้าม่านยอดนิยม

โครงสร้างของจีบผ้าม่าน ส่งผลต่อวิธีการแขวนผ้าม่านบนกรอบหน้าต่าง ฉะนั้นการรู้จักประเภทผ้าม่านจะช่วยให้การตกแต่งภายในให้ออกมาสวยงามและตรงตามการใช้งาน ซึ่งในปัจจุบันผ้าม่านมีให้เลือกกันอยู่หลายแบบ แต่เราขอคัดแบบยอมนิยมมาให้ได้รู้จักกัน ทั้งหมด 6 แบบ 

  • ม่านจีบ ม่านทรงมาตราฐาน ที่ลักษณะของม่านจะมีการจับจีบด้านบน ด้วยการเว้นระยะเท่าๆ กัน ช่วยให้รอยพับของผ้าไหลลงมาด้านล่าง และสร้างลุคที่หรูหราและเป็นทางการ โดยม่านจีบสามารถติดผ้าได้ 2 ชั้น คือม่านโปร่งและม่านทึบ
  • ม่านลอน ผ้าม่านลอนจะใช้วัสดุติดที่หัวผ้ากับราง ทำให้แขวนแล้วเกิดลอนสวย นอกจากจะใช้กับประตูหน้าต่างได้แล้ว ยังเหมาะกับการกั้นพื้นที่อีกด้วย
  • ม่านตาไก่ เป็นม่านผ้าที่มีลักษณะของรางผ้าม่านที่สอดผ่านห่วงตาไก่ที่ยึดติดกับหัวผ้าม่านด้านบน ทำให้เกิดลอนสวยงามแถมยังเป็นการโชว์รางพร้อมห่วงตาไก่ทีเพิ่มความโดดเด่นได้เป็นอย่างดี
  • ม่านพับ เป็นม่านอีกชนิดที่หลายบ้านให้ความนิยม เนื่องจากม่านพับมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ให้ความรู้สึกเรียบหรู ดูทันสมัย โดยรูปแบบม่านจะใช้ระบบเชือกในการดึงผ้าม่าน ให้พับทบกันเป็นชั้นๆ และเรียงซ้อนกันขึ้นไปด้านบน
  • ม่านม้วน ลักษณะพิเศษของผ้าม่านม้วนคือ เป็นผ้าผืนใหญ่ที่สามารถม้วนเก็บขึ้นไปให้มิดชิดได้ ซึ่งม่านม้วนมีทั้งชนิดกันแสง และชนิดกรองแสง ที่ปล่อยให้แสงส่องผ่านได้บ้าง เหมาะกับการตกแต่งที่ต้องการทั้งแสงสว่างและความเป็นส่วนตัวในเวลาเดียวกัน
  • ม่านมูลี่ ไม่ได้ใช้วัสดุผ้า แต่นับว่าเป็นม่านบังตาอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยลักษณะเฉพาะที่ถูกออกแบบเป็นซี่ๆ โดยวัสดุมีทั้ง พลาสติก โลหะ ไม้ การใช้งานจะมีรอกและเชือกสำหรับชักให้ม้วนหรือคลี่ออกได้ 

หน้าต่างแต่ละแบบแมตช์กับผ้าม่านแบบไหนดี

หากกรอบบานหน้าต่างหรือประตูเป็นบานใหญ่และสูง การเลือกติดม่านจีบแบบสองชั้น ด้วยการจับคู่ผ้าบางและผ้าหนา จะยิ่งช่วยเสริมให้ห้องนั้นดูสวย เรียบหรู 

หน้าต่างแบบนี้ ควรเลือกใช้ผ้าม่านแบบใด

ทั้งนี้ม่านจีบยังสามารถออกแบบรางม่านซ่อนไว้บนฝ้าเพดาน ร่วมกับการออกแบบไลท์ติ้ง ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ห้องดูโมเดิร์นร่วมสมัย บวกกับมุมมองหน้าต่างที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเปิดมุมมองให้กว้างขึ้น สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามภายนอกได้อย่างเต็มตากว่าที่เคย

สำหรับหน้าต่างบานกระทุ้ง หรือบานเปิด ที่มีลักษณะบานแคบ เหมาะกับการแมตช์กับผ้าม่านแบบพับ เพราะช่วยเน้นแนวตั้งของประตูหรือหน้าต่าง เมื่อผ้าม่านพับไปถึงชั้นบนสุดจะทำให้ห้องดูโปร่งโล่ง เข้ากับการแต่งห้องในสไตล์โมเดิร์น ที่สำคัญทำความสะอาดง่ายอีกด้วย

หน้าต่าง ขนาดเล็กถึงปานกลางที่มีความกว้างไม่มากจนเกินไป แนะนำให้แมตช์กับผ้าม่านตาไก่ เพื่อป้องกันรางม่านแอ่นจากน้ำหนักของผ้า เสน่ห์ของม่านตาไก่ คือ การโชว์ความสวยงามของลอนผ้าและโชว์รางพร้อมกับห่วงตาไก่ 

หน้าต่างกรอบบานเลื่อน เข้าได้ง่ายกับม่านมูลี่ ซึ่งช่วยให้บานหน้าต่างไม่ดูโล่งจนเกินไป ทั้งยังเพิ่มลูกเล่นของช่องแสงที่ลอดผ่านมูลี่ทำให้ห้องนั้นๆ ดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ขอแนะนำให้เลือกติดตั้งม่านมู่ลี่ ในบริเวณห้องน้ำ หรือห้องครัว เพราะสามารถทำความสะอาดได้ง่าย ทนความชื้นได้ดี หรือจะให้ดีสามารถเลือกเป็นบานประตูระบายอากาศของทอสเท็มสำหรับห้องที่ต้องการการระบายอากาศโดยเฉพาะ ซึ่งมีทั้งบานมุ้งลวดและการปรับระดับหน้าต่างให้เลือกได้ตามความต้องการของการใช้งาน 

หน้าต่างแบบนี้ ควรเลือกใช้ผ้าม่านแบบใด

สำหรับใครที่ต้องการติดตั้งหน้าต่างอะลูมิเนียม สามารถดูข้อมูลสินค้าทุกรุ่นของ TOSTEM ล้วนผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ผสานด้วยดีไซน์อันสวยงาม กลมกลืนไปกับผ้าม่านได้หลากสไตล์และเข้าตัวบ้านทุกรูปแบบได้อย่างลงตัว 

หน้าต่างไม้ vs. หน้าต่างอะลูมิเนียม แบบไหนดี และดูรักษาอย่างไร?

หน้าต่างไม้ vs. หน้าต่างอะลูมิเนียม แบบไหนดี และดูรักษาอย่างไร?

House C+I การออกแบบบ้านกะทัดรัด ให้โปร่ง โล่ง สบาย

การตัดสินใจเลือกหน้าต่าง คุณควรพิจารณาก่อนว่าหน้าต่างนั้นเหมาะสมกับบ้านของคุณหรือไม่ และหน้าต่างนั้นทำจากวัสดุอะไร โดยปกติแล้วหน้าต่างยอดนิยมจะถูกสร้างขึ้น ด้วย 2 วัสดุ คือ ไม้ และอะลูมิเนียม ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดมีข้อดีต่างกัน ในบทความนี้ เราจะอธิบายความแตกต่างบางประการของ หน้าต่างไม้ vs. หน้าต่างอะลูมิเนียม ว่าแบบไหนดี และมีวิธีดูรักษาอย่างไร?


ข้อดีของหน้าต่างไม้ vs. หน้าต่างอะลูมิเนียม


คุณสมบัติที่ดีของหน้าต่างไม้และหน้าต่างอะลูมิเนียม หรือแม้กับหน้าต่างวัสดุอื่นๆ มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ที่คล้ายคลึง คือช่วยในเรื่องฟังก์ชันการทำงานของบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ขยายการมองเห็นไปยังพื้นที่ภายนอก ช่วยให้แสงธรรมชาติลอดผ่านมายังตัวบ้าน ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันสิ่งต่างๆ เช่น เสียงรบกวน ฝุ่น ลม และฝน 

ความแข็งแรงทนทาน


อะลูมิเนียม –
เนื่องจากวัสดุอะลูมิเนียมเป็นโลหะที่ทนทาน จึงไม่มีปัญหาเรื่องบวมจากความชื้น ปลวก และไม่เกิดสนิม ทำให้ใช้งานได้อย่างยาวนาน ยิ่งหากเป็นอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ ความยืดหยุ่นของเนื้อวัสดุจะยิ่งมีความต้านทานการแตกหักได้สูง ทำให้ทนต่อสภาพอากาศร้อนและชื้นในประเทศได้อย่างดี

ไม้ –
เป็นวัสดุธรรมชาติ จึงอาจทำให้เกิดการโก่งตัว บวมหรือผิดรูปขึ้นได้ แต่หากมีการดูแลที่ดี หมั่นทาน้ำยาเคลือบผิวไม้ และไม่เลือกติดตั้งบริเวณที่มีความชื้น หน้าต่างไม้ก็นับว่าเป็นวัสดุที่มีคุณภาพและมีอายุการใช้งานได้ยาวนานประมาณหนึ่ง

ความสวยงาม


อะลูมิเนียม –
มีให้เลือกหลายสี และมีหลากหลายลวยลายแพทเทิร์น แต่ที่นิยม คือ สีขาว  สีชา สีดำ สีน้ำตาล  ซึ่งเป็นเฉดสีที่เข้ากับบ้านได้ทุกสไตล์ ทำให้การตกแต่งบ้านง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญความบางของวงกบอะลูมิเนียม ทำให้ดูสลิม ไม่หนาเทอะทะ รับวิวได้เต็มที่ สวยงาม สบายตา

ไม้ –
เสน่ห์อันอบอุ่นและความสง่างามของวัสดุจากธรรมชาติอย่างไม้ มีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ให้ความรู้สึกเหนือกาลเวลาและคลาสสิก

ความปลอดภัย

อะลูมิเนียม – ผลิตภัณฑ์หน้าต่างอะลูมิเนียม ปัจจุบันมีการพัฒนาเรื่องระบบล็อค รักษาความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้หน้าต่างอะลูมิเนียมมีความปลอดภัยสูง และด้วยความเหนียวแน่นของวัสดุที่สูง ทำให้ทนการแตกหักได้ดี

ไม้ –
เมื่อผ่านกาลเวลาไปนานหลายปี วัสดุไม้ อาจจะมีปลวกและแมลงมากัดกิน หรือต้องเจอกับสภาพอากาศของเมืองไทย ที่ทั้งร้อนและฝน จนเกิดการผุกร่อนได้ จึงอาจส่งผลต่อระบบล็อกของหน้าต่างไม้ได้ แต่ทั้งนี้ปัจจุบันหากเลือกไม้คุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม เช่น ไม้เนื้อแข็ง หรือมีระบบล็อคแบบหลายจุด และเพิ่มกระจกรักษาความปลอดภัย ก็จะสามารถช่วยเรื่องปลอดภัยเพิ่มขึ้นได้ 

เคล็ดลับการดูแลรักษา

หน้าต่างไม้ vs. หน้าต่างอะลูมิเนียม แบบไหนดี และดูรักษาอย่างไร?
*ไม่ใช่สินค้า TOSTEM*

หน้าต่างไม้
ไม่ว่าหน้าต่างไม้จะเพิ่งติดตั้งหรือผ่านเวลามานาน การบำรุงดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งสามารถเริ่มต้นโดย

  1. ป้องกันปลวกด้วยการใช้น้ำยาป้องกันแมลงกินไม้ (ควรปฏิบัติตามคำแนะนำข้างกระป๋อง)
  2. ปกป้องผิวไม้จากความชื้นและแสงแดดด้วยการเคลือบเงา ลงแว๊กซ์ หรือทาสีสำหรับงานไม้โดยเฉพาะ
  3. ตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นประจำ เพื่อช่วยลดการสะสมของสิ่งสกปรกหรือความชื้น ที่อาจทำให้ผิวหน้าต่างเสื่อมสภาพได้ โดยหลีกเหลี่ยงการใช้ผงซักฟอกที่มีฤทธิ์รุนแรง เช่น สารฟอกขาว หรือสารเคมีทำความสะอาดหน้าต่าง และการทำความสะอาดหน้าต่างไม้ทุกครั้งต้องเช็ดให้แห้ง
  4. หากพบว่ามีรอยขีดข่วนบนหน้าต่างไม้ สามารถใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำมันชักเงาถูเบาๆ ช่วยให้รอยบางลงได้
  5. สำหรับคราบเชื้อรา ให้ใช้กระดาษทรายขัดผิวไม้ส่วนที่เป็นเชื้อราออก แล้วเช็ดทำความสะอาดก่อนใช้น้ำยาเคลือบผิวไม้ทาทับ เป็นการป้องกันเชื้อราได้

หน้าต่างไม้ vs. หน้าต่างอะลูมิเนียม แบบไหนดี และดูรักษาอย่างไร?
*ไม่ใช่สินค้า TOSTEM*

หน้าต่างอะลูมิเนียม
หน้าต่างอะลูมิเนียม การดูแลจะง่ายกว่าหน้าต่างไม้ เพราะค่อนข้างทนทานต่อทุกสภาพอากาศ จึงทำให้อายุการใช้งานยาวนาน แต่ทั้งนี้ก็ควรดูแลรักษาอย่างถูกวิธีด้วยเช่นกัน

  1. การทำความทำสะอาดหน้าต่างอะลูมิเนียม ไม่ควรใช้แปรงขัด หรือสก็อตไบรท์ เพราะทำให้เกิดรอยขีดข่วน แนะนำให้ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ หรือน้ำยาสำหรับทำความสะอาดผิวอะลูมิเนียม ก็เพียงพอ
  2. หลีกเลี่ยงการติด การแปะวัสดุบนพื้นผิว เช่น นำเทปกาวมาติดบริเวณอะลูมิเนียม เนื่องจากกาวจะหลอมละลาย ทำให้ผิวหน้าอะลูมิเนียมสูญเสียสภาพเดิมได้
  3. ไม่ควรใช้สารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรง มาทำความสะอาด เพราะจะส่งผลให้ผิวอะลูมิเนียม เกิดรอยด่าง หรือสีหลุดร่อนได้
  4. หากพบปัญหาในการเลื่อนหน้าต่างอะลูมิเนียม ที่เกิดจากฝุ่นหรือเศษสิ่งสกปรกเข้าไปสะสมในร่องและซีลประตู แนะนำว่าไม่ควรดึงและดันอย่างหนัก ให้ใช้เพียงปลายเล็กๆ ของเครื่องดูดฝุ่นในการดูดออก


ทั้งนี้การหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจพบเจอกับการดูแลรักษาหน้าต่างอะลูมิเนียม สามารทำได้โดยเลือกใช้สินค้าที่มีการประกันคุณภาพ ได้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในระดับสากล อย่างผลิตภัณฑ์กรอบบานหน้าต่างอะลูมิเนียม TOSTEM ที่ใช้เทคโนโลยีสีการชุบ สีอะโนไดซ์ (Anodized) ทำให้สีอะลูมิเนียมดูสวยงามอย่างมีมิติ ทนทานยาวนาน


นอกจากนี้ทุกรุ่นมีระบบล็อคที่แน่นหนา มีความปลอดภัยสูง และดีไซน์รับกับการออกแบบที่หลากหลาย สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิ้งค์ท้ายบทความ
 


3 มุ้งลวดกันแมลงจาก TOSTEM

3 มุ้งลวดกันแมลงจาก TOSTEM

ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น จึงมักแมลงตัวเล็กๆ เป็นจำนวนมาก แมลงต่างๆ เหล่านี้อาจเป็นพาหะของโรคหลายชนิด เราจึงต้องป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัย การเลือกติดมุ้งกันแมลงก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถกันแมลงเล็กๆ เข้าบ้านได้เป็นอย่างดี และมุ้งกันแมลงยังมีความโปร่ง ช่วยทำให้อากาศและแสงธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้านได้ แต่จำเป็นต้องเลือกให้เหมาะกับประตูหรือหน้าต่างของบ้าน เพื่อประสิทธิภาพการใช้งานสูงสุด

สำหรับใครที่ใช้ประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ก็ไม่ต้องกังวลกับการเลือกมุ้งกันแมลง เพราะสินค้าแต่ละรุ่นมีมุ้งกันแมลงแบบเฉพาะตัว ลองมารู้จักมุ้งกันแมลงแต่ละประเภทกัน

3 มุ้งลวดกันแมลงจาก TOSTEM

มุ้งลวดบานจีบสำหรับ GRANTS

มุ้งลวดบานจีบสำหรับสินค้ารุ่น GRANTS จะใช้กับหน้าต่างบานเปิดและบานกระทุ้ง โดยมีลักษณะเป็นบานจีบที่ติดตั้งภายในวงกบของบานหน้าต่าง สามารถเลื่อนเปิดปิดได้ ไม่ต้องกางออกไว้ตลอด

*เฉพาะ GRANTS Casement Window และ GRANTS Awning Window เท่านั้น

ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ https://bit.ly/43W10JC

3 มุ้งลวดกันแมลงจาก TOSTEM

มุ้งล่องหนสำหรับ ATIS

มุ้งของ ATIS เป็นมุ้งกันแมลงที่ใช้เทคโนโลยี Invisible Shield ด้วยเส้นใยขนาดเล็กที่ให้ความโปร่งแสง ไม่บดบังทัศนีภาพการมอง ลดช่องว่างลง แต่ยังช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ด้วยการเพิ่มการไหลเวียนของอากาศ (Airflow) และยังสามารถกันแมลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดูรายละเอียดสินค้าได้ที่ https://bit.ly/3rjY0Jk

3 มุ้งลวดกันแมลงจาก TOSTEM

มุ้งลวดสำหรับรุ่นอื่นๆ

สินค้ารุ่นอื่นๆ ของ TOSTEM สามารถสั่งทำมุ้งลวดเพื่อใช้งานได้เช่นกัน โดนเป็นมุ้งลวดแบบเรียบ สามารถใช้ได้ทั้งกับบานหน้าต่างแบบสไลด์ บานสวิง หรือบานกระทุ้ง โดยเจ้าของบ้านสามารถปรึกษาและเลือกแบบที่เหมาะสมได้กับทีมช่างผู้เชี่ยวชาญของ TOSTEM ได้

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับมุ้งลวดกันแมลงจาก TOSTEM มากขึ้น และสามารถเลือกมุ้งลวดที่เหมาะสมกับประตูหรือหน้าต่างของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนสร้างบ้าน ขั้นตอนอะไรบ้างที่ควรรู้?

ก่อนสร้างบ้าน ขั้นตอนอะไรบ้างที่ควรรู้?

การสร้างบ้าน นับว่าเป็นการลงทุนที่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ ซึ่งการวางแผนที่ดีมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้ได้บ้านในฝันของเราสวยงามตรงตามใจต้องการ และสำหรับใครที่ยังไม่แน่ใจว่าการจะสร้างบ้าน 1 หลัง มีขั้นตอนอะไรบ้างที่ควรรู้ หรือควรเลือกอะไรก่อนหลังดี วันนี้เรามีข้อมูลเบื้องต้นมาฝากให้ทุกคนได้ลองนำไปปรับใช้กันไว้ในบทความนี้แล้ว

1. เลือกพิจารณาสภาพพื้นที่ดินให้ถูกที่และถูกใจ
หากคุณยังไม่ได้ซื้อที่ดินสำหรับสร้างบ้าน ควรเลือกย่านหรือชุมชนที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างครอบครัวของคุณ และควรเลือกที่ดินที่มีความปลอดภัย สามารถเข้าถึงพื้นที่สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

แต่หากมีที่ดินอยู่แล้ว ควรตรวจสอบปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพดิน การระบายน้ำ ระดับถนน และให้ความสำคัญกับการปรับสภาพพื้นที่ก่อสร้าง การกำหนดความสูงต่ำของพื้นที่บ้าน เพื่อป้องกันเรื่องของน้ำท่วมขังเมื่อฝนตกหนัก หรือแม้กระทั่งทิศทางลมและแดด ที่เราก็ควรเลือกไว้ล่วงหน้าว่าอยากให้ห้องไหนอยู่ทิศไหน เพื่อให้การปรับแต่งเหมาะสมกับพื้นที่อย่างดีที่สุด

2. เลือกแปลนบ้าน วางแผนให้พร้อมสำหรับอนาคตครอบครัว
ก่อนจะสร้างบ้านสักหลัง อันดับแรกๆ ที่ควรรู้คือ ความต้องการของตัวเอง อยากสร้างบ้านหลังขนาดไหน สไตล์ไหน อยากได้แปลนบ้านแบบไหน จำนวนสมาชิกในครอบครัวมีกี่คน ต้องการห้องหรือพื้นที่ใช้สอยอะไรบ้าง เช่น ต้องมีพื้นที่ทางลาดสำหรับรถเข็น ต้องการโซนเด็กหรือโซนสัตว์เลี้ยง อาจจะจดสิ่งที่ต้องการเป็นลิสต์ เพื่อให้ผู้ออกแบบสามารถวางแผนแปลนบ้านคร่าวๆ ได้ตรงตามความต้องการของเราได้มากที่สุด

3. ตั้งงบประมาณให้ครอบคลุม
เริ่มพิจารณางบประมาณตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มคิดจะสร้างบ้าน โดยคำนึงถึงรายได้และรายจ่ายของตัวเอง เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายที่จะบานปลายในอนาคต โดยต้องคำนวณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจากการสร้างบ้านให้ครอบคลุม เช่น ที่ดิน สถาปนิก ผู้รับเหมา วัสดุอุปกรณ์ ค่าตกแต่ง สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกบ้าน  รวมถึงข้อกำหนดด้านภาษี ไปจนถึงควรจัดสรรเงินสัดส่วนเกินไว้เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดบางอย่าง เช่น มิเตอร์ไฟฟ้า สายไฟ รั้ว เป็นต้น

4. ยื่นคำร้องขออนุญาตก่อสร้างบ้าน
จะสร้างบ้าน 1 หลัง เรื่องกฎหมายการขออนุญาตปลูกสร้าง เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ควรรู้ เพื่อป้องกันปัญหาขณะสร้างที่อาจจะตามมา และเป็นหลักฐานว่าเราได้ทำการสร้างบ้านอย่างถูกต้องตามกฎหมายกำหนด ด้วยการยื่นคำร้องขออนุญาตก่อสร้างบ้านกับสำนักงานเขตท้องถิ่นภายในพื้นที่ของจังหวัดนั้น ๆ ที่เราจะทำการสร้างบ้าน โดยสามารถสอบถามข้อมูลจากสำนักงานเขตท้องถิ่นว่ามีเอกสารอะไรต้องใช้บ้าง เพื่อให้การยื่นคำร้องขออนุญาตก่อสร้างบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น

5. เลือกวัสดุที่ได้มาตรฐานเหมาะสมสำหรับบ้านของคุณ
ขั้นตอนการสร้างบ้านจะมีประสิทธิภาพ เมื่อเรามีการวางแผนที่ดี ไม่ว่าจะเป็นแปลนบ้าน สไตล์บ้าน หรือต้นทุนในการปลูกสร้าง รวมถึงรายละเอียดของวัสดุต่างๆ ที่นอกจากความสวยงาม ยังต้องคำนึงถึงความทนทานด้วย เพื่อให้บ้านอยู่กับเราไปนานๆ ตัวอย่างเช่น หากที่บ้านมีผู้สูงอายุ ควรพิจารณาปูพื้นกระเบื้องที่มีค่า R 10 ขึ้นไป เพื่อป้องกันการหกล้มของผู้สูงอายุ หรือคำนึงถึงติดตั้งฉนวนความร้อนบนฝ้าเพดาน เพื่อช่วยลดความร้อนในบ้าน

นอกจากนี้ การเลือกใช้วัสดุให้สอดรับกับการอยู่อาศัย ยังรวมไปถึงการเลือกประตู หน้าต่าง ที่เราควรใส่ใจด้วยเช่นกัน เพราะจะต้องใช้งานติดกันตัวบ้านยาวหลายสิบปี และยังช่วยเสริมสภาพอากาศภายในอาคารที่ดีสำหรับความเป็นอยู่ที่ดี เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ TOSTEM กรอบบานประตูและหน้าต่างคุณภาพ ที่มีการพัฒนาออกแบบ ภายใต้การควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดให้กับทุกคน ครอบคลุมทุกประโยชน์การใช้งาน ดังนี้

ก่อนสร้างบ้าน ขั้นตอนอะไรบ้างที่ควรรู้?

แข็งแรงทนทานต่อทุกสภาพอากาศ
ความทนทานของวัสดุอะลูมิเนียมคุณภาพสูง เคลือบสีด้วยเทคโนโลยีอโนไดซ์ตามมาตรฐานประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความสวยงามทนทานยาวนานกว่า 40 ปี อีกทั้งผลิตภัณฑ์จาก TOSTEM ถูกออกแบบให้ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ และสามารถต้านทานแรงลม (Wind loading Resistance) ตั้งแต่ 500-2000 Pascal ซึ่งตอบโจทย์กับบ้านและอาคารทุกประเภท

บ้านที่ใช้สินค้า TOSTEM

เปิดโล่งและมีอากาศบริสุทธิ์
ประตูและหน้าต่างจาก TOSTEM มีนวัตกรรมที่ช่วยดักฝุ่น ลม และน้ำที่รั่วซึมในบางรุ่น รวมทั้งยังมีนวัตกรรม TOSTEM Airflow System ที่ช่วยถ่ายเทอากาศโดยไม่ใช้พลังงาน ช่วยให้การระบายอากาศภายในบ้านที่ดีขึ้น ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และแหล่งสะสมของเชื้อรา

ระบบล็อคที่ปลอดภัย กุญแจสำคัญของประตูหน้าต่าง
ความปลอดภัยที่ TOSTEM ให้ความสำคัญ คือ ระบบล็อค ที่ถูกออกแบบให้สามารถป้องการกันการงัดแงะ รวมถึงคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้งานในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันอุบัติเหตุรุนแรงจากประตู-หน้าต่างหนีบ ด้วยซีลยางหนา 35-55 มิลลิเมตรรอบตัววงกบในผลิตภัณฑ์ TOSTEM ทุกรุ่น และฟังก์ชันตัวหยุดนิรภัย สำหรับหน้าต่างบานยก ATIS Tilt & Slide หรือ GIESTA ประตูหน้าบ้านจาก TOSTEM ที่มาพร้อมระบบล็อค 2 ชั้น พร้อมหัวล็อคดีไซน์แบบขอเกี่ยวเสริมอีก 3 จุด และ Door Guard ด้านบนสุดที่เติมเต็มความปลอดภัยแบบแมนนวล ส่วนฝั่งด้านในห้อง ออกแบบลูกบิดกุญแจให้สามารถดึงปลายออกได้ เพื่อป้องกันการบุกรุกอีกหนึ่งทางด้วย

ก่อนสร้างบ้าน ขั้นตอนอะไรบ้างที่ควรรู้?

รูปร่างและขนาดหลากหลาย เพื่อเชื่อมมุมมองที่ดีที่สุด
เอกลักษณ์ในการดีไซน์จาก TOSTEM นอกจากจะเน้นเรื่องของความสวยงาม เรียบหรู ยังมีหลากหลายซีรีส์มาให้เลือกสรร เช่น รุ่น GRANTS ที่เน้นดีไซน์พื้นที่กระจก เพื่อเปิดรับวิวได้กว้างอย่างเต็มที่ เหมาะกับการใช้เปิดมุมพาโนรามาเป็นอย่างยิ่ง หรือรุ่น WE PLUS  รุ่นพิเศษที่ถูกออกแบบที่มีความสูงของบานประตู-หน้าต่างถึง 3 เมตร ซึ่งเป็นความสูงที่มากกว่าประตู-หน้าต่างทั่วไป และเป็นที่ต้องการในงานออกแบบสไตล์โมเดิร์นในยุคนี้

ให้ความสำคัญกับคุณภาพ และตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
ผลิตภัณฑ์ TOSTEM โดดเด่นด้านงานดีไซน์ที่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานทุกเพศทุกวัย และมีการควบคุมคุณภาพตามหลักวิศวกรรมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การผลิตชิ้นส่วนโครงสร้าง ตลอดจนการติดตั้งถึงที่ ทั้งยังได้รับการการันตีมาตรฐานจาก Japanese industrial Standards (JIS) ที่เป็นมาตรฐานการผลิตที่ได้รับการยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรมระดับโลก
 

สำหรับใครที่กำลังคิดจะสร้างบ้าน หรือก่อสร้าง ซ่อมแซม TOSTEM มีผลิตภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง คุณภาพสูงตรงตามมาตรฐานระดับสากลให้เลือกสรรหลากหลายซีรีส์ ที่เหมาะกับบ้านทุกสไตล์ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์ด้านล่าง

ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม

  •          https://build.com.au/what-do-first-when-you-want-build-house
  •          https://www.thespruce.com/before-you-build-steps-new-home-175909


จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

“การเลือกสีดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” ประโยคนี้ไม่ได้ใช้กับการเสื้อสีมงคลตามวันเท่านั้น แต่บทความนี้เราอยากพามาเลือกสีห้องให้ลงตัวกับบ้านที่แสนอบอุ่นของเรากัน เพราะเรื่องการ “จัดสีห้อง” ถือเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้าน ทั้งความสัมพันธ์ของสีภายในห้องยังช่วยเชื่อมต่อระหว่างช่องทางที่คั่นด้วยประตู หน้าต่าง และสร้างความต่อเนื่องของการมองเห็นอีกด้วย 

ถ้าพร้อมแล้ว มาเนรมิตห้องในบ้านไปกับ TOSTEM ด้วยกันเลย

จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

ใช้เทรนด์สีธรรมชาติทั้งห้อง

สีธรรมชาติ เป็นเทรนด์ที่รับความนิยมในการตกแต่งห้องเป็นอย่างมาก เพราะทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่น ผ่อนคลาย และสีธรรมชาติยังเป็นสีที่สามารถเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ และเฉดสีต่างๆ ในห้องได้ง่าย ซึ่งโทนสีธรรมชาติ มีทั้ง สีน้ำตาล สีขาว สีครีม เป็นต้น  

จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

ทั้งนี้หากเราต้องการเพิ่มกลิ่นอายธรรมชาติให้กับพื้นที่ สามารถเลือกประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมที่มีลวดลายดูเป็นธรรมชาติ อย่างลวดลายไม้ หรือโทนสี Natural Silver ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มให้พื้นที่มีเสน่ห์น่าค้นหา และให้ฟีลธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้วัสดุไม้ที่มีราคาสูง ดูแลรักษายากกว่าอะลูมิเนียม

จัดสีห้องโทนสว่างช่วยเปลี่ยนขนาดห้อง
สีขาว เป็นสีสว่าง และตามหลักจิตวิทยาเป็นสีที่ให้ความรู้สึกสงบสุข เรียบง่าย จึงไม่แปลกที่นักออกแบบทั้งมือเก่า มือเก๋า นิยมหยิบสีขาวมาใช้เป็นสีในการแต่งห้อง ซึ่งจะทำให้ห้องดูกว้าง ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง ไม่อึดอัด และทำให้ห้องมีความสว่าง ช่วยให้การมองเห็นภายในห้องของเราดีขึ้น ที่สำคัญสีขาวใช้ได้กับทุกห้อง ทั้งห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว ฯลฯ  

สีโทนสว่างมีด้วยกันหลายเฉด ซึ่งสามารถเลือกใช้สีขาวครีม สีขาวไข่ สีขาวนวล  หรือเลือกตกแต่งโทนสีพาสเทล สีเบจ ก็ช่วยสร้างบรรยากาศละมุนขึ้นไปได้อีกสเต็ป ทั้งยังสามารถเข้ากับเฟอร์นิเจอร์ได้ง่าย และทำให้ห้องดูกว้างขวางสบายตาขึ้นได้แบบไม่ต้องกลัวห้องจะหลุดโทน

เทคนิคไล่โทนสีเข้ม ให้ห้องคอมพลีทลุคในแบบหรูหรา


การเพิ่มระดับความเข้ม เป็นอีกหนึ่งไอเดียการจัดสีห้องให้ทันสมัย ดูเท่ เรียบหรูไม่ซ้ำใคร อย่างเช่น การเลือกไล่เฉดสีเทาคู่กับสีเทาที่เข้มขึ้นไปอีกเฉด หรือจะเป็นโทนสีน้ำตาลเข้มจับคู่กับสีดำ ก็สามารถเข้ากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งการไล่เฉดสีเข้มจะช่วยเพิ่มเลเยอร์ของห้องให้ดูมิติมากยิ่งขึ้น และเสริมให้ห้องไม่ดูทึบตัน

จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

แต่ข้อควรคำนึง คือจัดวางเฟอร์นิเจอร์ในตำแหน่งที่อากาศหมุนเวียนได้ดี หรือเลือกใช้กรอบบานหน้าต่าง TOSTEM เพื่อป้องกันอากาศรั่วไหล ช่วยให้ห้องไม่ร้อน เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM มีการทดสอบคุณภาพอย่างละเอียดและเข้มงวดตามมาตรฐานในระดับสากล อย่าง JIS (Japanese Industrial Standard) และ ASTM (American Society for Testing and Materials) ตั้งแต่ ป้องกันน้ำฝนรั่วซึม, ต้านทานแรงลม, ป้องกันอากาศรั่วไหล, ป้องกันเสียง, ทนทานต่อสภาพอากาศทั้งความร้อน แสงแดด และรังสียูวี, ทนทานต่อการกัดกร่อนจากกรดและด่าง และทนทานต่อการเปิด-ปิด

จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

สำหรับใครที่ไม่อยากให้ห้องดูเข้มจนเกินไป ก็สามารถแมทช์สีเองตามทฤษฎี 60-30-10 จะช่วยให้การตกแต่งห้องมีมิติและเพิ่มลูกเล่นที่แปลกใหม่ ด้วยการเลือกใช้สีหลักใน 60% ของห้อง ต่อด้วยอีก 30% เลือกเป็นสีโทนเข้มกว่า และ 10% แบ่งให้กับส่วนที่เหลือในห้อง เช่น บัวผนัง กรอบประตู หน้าต่าง หรือเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ในห้อง 

จัดสีห้องอย่างไรให้ลงตัว ?

มากกว่าการเลือกสีให้กับห้อง การเลือกประตูหน้าต่างก็เป็นหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมให้ห้องสวยเนี้ยบขึ้นมาได้ เช่นเดียวกับความหลากหลายและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ TOSTEM ที่ปัจจุบันมีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ NATURAL WHITE, NATURAL SILVER, SHINE GRAY, AUTUMN BROWN, DUSK GRAY และ NATURAL BLACK เข้าได้กับห้องทุกเฉดสี มาพร้อมคุณสมบัติอะโนไดซ์ (Anodized) ที่ทำให้สีติดทนยาวนาน ช่วยยืดอายุของการใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น 

หนึ่งในนวัตกรรมจดสิทธิบัตรของผลิตภัณฑ์ TOSTEM คือ กระบวนการชุบสีด้วยประจุไฟฟ้า พร้อมชั้นเคลือบพิเศษ TEXGUARD ซึ่งมีข้อดีคือทำให้สีอะลูมิเนียมดูสวยงามอย่างมีมิติ ผิวสัมผัสเรียบเนียน คงทนต่อการใช้งานจริงทุกสภาพอากาศ อีกทั้งยังคงทนต่อรังสี UV และน้ำฝนที่เป็นสาเหตุให้สีซีดจาง ตอบโจทย์ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันการอยู่อาศัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สำหรับผู้สนใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม แบรนด์ TOSTEM ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

 ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม

เปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้น่าอยู่

เปลี่ยนบ้านให้ ‘น่าอยู่’ ใส่ใจทั้งกลางวันและกลางคืน

ทุกวันนี้รูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนไปแล้ว เทรนด์การทำงานจากที่บ้านหรือ Work from Home ถูกให้ความสนใจมากขึ้น แม้บางคนอาจมองว่าเป็นรูปแบบการทำงานที่ไม่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่พบว่าการทำงานที่บ้าน ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าการทำงานในออฟฟิศเสียอีก จึงทำให้บางบริษัทได้มีการออกนโยบายให้เป็น Hybrid Office ที่มีทั้งการทำงานจากที่บ้านและออฟฟิศสลับกัน ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงหันมาให้ความสนใจกับการจัดแต่งมุมทำงานในบ้านมากยิ่งขึ้น หรืออาจถึงขั้นรีโนเวทกันใหม่เลยทีเดียว สำหรับใครที่กำลังหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ วันนี้ TOSTEM ขอนำเสนอ4 ไอเดียที่จะเปลี่ยนมุมทำงานอันแสนจำเจ ให้กลายเป็นมุมทำงานที่เพิ่มพลัง Productive ในทุก ๆ วันมาฝากกัน 

เปลี่ยนบรรยากาศบ้านให้น่าอยู่

1. จัดขนาดพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่มุมไหนๆ ของบ้าน ‘ฟังก์ชันที่ดี’ ย่อมต้องมีคู่บ้านเสมอ เช่นเดียวกันกับห้องทำงาน ที่ต้องมีการแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน และเหมาะสมกับการใช้งานของเรา ดังนั้นก่อนจะลงมือจัดมุม Work from Home ให้น่าทำงาน เราควรรู้ก่อนว่างานของเราต้องใช้อุปกรณ์หรือเฟอร์นิเจอร์อะไร และสิ่งของเหล่านั้นมีขนาดเท่าไหร่บ้าง เพื่อที่จะนำมาออกแบบพื้นที่แต่ละมุมให้ใช้งานง่าย จัดเก็บสะดวก และตอบโจทย์ฟังก์ชันการใช้งานในทุก ๆ วัน อีกทั้งยังช่วยลดการใช้พื้นที่อย่างสิ้นเปลืองอีกเช่นกัน ซึ่งในทางจิตวิทยา หากเราใช้เวลาในห้องที่มีขนาดแคบ กว้าง สูง หรือเตี้ยเกินไป สามารถส่งผลต่อสภาพจิตใจเราให้เกิดพลังลบได้ในขณะเดียวกัน 

เมื่อมีการจัดขนาดพื้นที่อย่างเหมาะสมแล้ว เราก็ต้องเลือกเฟอร์นิเจอร์อย่าง โต๊ะ เก้าอี้ และตู้วางของ ให้มีขนาดที่สมดุลกับสรีระของเราเช่นกัน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง และลดการเกิดภาวะออฟฟิศซินโดรม ที่นำไปสู่อาการปวดกล้ามเนื้อในวัยทำงาน อย่างที่หลายคนกำลังประสบปัญหานั่นเอง 

2. เปิดรับและปรับระดับแสงสว่างให้เพียงพอ

เราคงเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าหากจ้องจอนานจะทำให้สายตาเสีย ทว่าสายตาเสียในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสายตาสั้นหรือยาว แต่กล่าวถึง ‘อาการตาล้า’ ที่เกิดจากการใช้งานสายตาหนักเป็นเวลานานในห้องที่มีแสงสว่างที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะมืดหรือสว่างเกินไป หากปล่อยให้เผชิญกับอาการตาล้าบ่อย ๆ อาจนำมาสู่การเกิดโรคทางดวงตาอย่างรุนแรงได้ในระยะยาว ดังนั้นเราจึงต้องจัดเตรียมแสงสว่างให้เพียงพอทั้งในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน 

โดยแสงไฟส่องสว่างที่เหมาะสมสำหรับห้องทำงาน จะอยู่ที่ประมาณ 400 – 600 ลักซ์ และควรใช้แสงสี Daylight หรือ Cool white เพื่อการมองเห็นที่ชัดเจน สบายตา และสร้างความรู้สึกกระตือตือร้นในการทำงานได้ดี ทั้งนี้ควรติดตั้งแสงไฟทั้ง ‘ไฟบริเวณ’ ซึ่งทำหน้าที่ให้แสงสว่างทั่วห้อง เน้นอำนวยความสะดวกในการใช้งานทั่วไป และ ‘ไฟเฉพาะจุด’ อย่างโคมไฟบนโต๊ะทำงาน เพื่อปรับระดับแสงสว่างให้ตอบโจทย์กับการทำงานยิ่งขึ้น 

สำหรับในช่วงกลางวันนั้น ‘แสงธรรมชาติ’ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน ที่นอกจากจะส่งผลดีต่อสายตาแล้ว ยังส่งผลดีต่อใจของเราอีกเช่นกัน เพราะในเชิงจิตวิทยา แสงธรรมชาติสามารถส่งผลให้สมองปลอดโปร่ง ช่วยผ่อนคลายความเครียด ทั้งยังกระตุ้นให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากสังเกตจะพบว่าห้องที่ดูน่าทำงาน ส่วนใหญ่มักจะมีหน้าต่างบานกว้าง หรือมีหน้าต่างหลายด้านเสมอ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องระวังภัยเงียบที่แฝงมากับแสงธรรมชาติ อย่างความร้อนและรังสียูวีด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้หน้าต่างที่มีบานกรอบหนาแน่น ลดการรั่วไหลของอุณหภูมิ ประกอบกับกระจกที่มีความหนาเพียงพอ อย่างกระจกลามิเนตหรือกระจกอินซูเลท เพื่อปกป้องตัวเราจากรังสียูวี และช่วยประหยัดพลังงาน ลดการสะสมความร้อนภายในห้อง 

3. รักษาความสะอาด ลดการสะสมของฝุ่นและความอับชื้น

ในช่วงเวลาทำงานหลายคนมักเปิดเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ จึงทำให้เกิดความอับชื้นและเชื้อราสะสมภายในห้องได้ง่าย โดยเฉพาะห้องทำงานที่เก็บหนังสือหรือเอกสารกองโต ซึ่งหากปล่อยไว้นานอาจส่งผลเสียต่อระบบทางเดินหายใจได้ ดังนั้นเราจึงควรเปิดรับอากาศธรรมชาติให้เข้ามาถ่ายเทบ้างเป็นบางครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็อย่าลืมระมัดระวังฝุ่นละออง ที่มักปลิวมาตามลม หรืออาจเล็ดลอดผ่านรอยต่อระหว่างบานกรอบประตู-หน้าต่าง 

ด้วยเหตุนี้บานกรอบประตู-หน้าต่างของ TOSTEM จึงถูกออกแบบกลไกภายในบานกรอบ ทั้งอุปกรณ์ล็อกมุมต่างๆ และซีลยางขอบประตู-หน้าต่าง ให้สามารถปิดล็อกได้อย่างแนบสนิท ไร้กังวลเรื่องฝุ่น PM 2.5 ละอองเกสร และมลภาวะทางอากาศต่างๆ  สำหรับใครที่กังวลเรื่องแมลงในระหว่างเปิดประตู-หน้าต่าง ก็สามารถติดตั้งมุ้งลวดเพิ่มเติมได้ ซึ่งมุ้งลวดของ TOSTEM นั้น ถูกออกแบบให้มีดีไซน์ทันสมัย ใช้งานง่าย เข้ากับบานกรอบประตู-หน้าต่างอย่างลงตัว โดยเฉพาะในรุ่น ATIS ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีมุ้งกันแมลงล่องหน ซึ่งผลิตจากเส้นตาข่ายที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นไนลอนขนาดทั่วไปถึง 40% ทำให้สามารถมองเห็นวิวข้างนอกได้ชัดเจนขึ้น ทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่น แมลง และปล่อยให้ลมสามารถลอดผ่านเข้ามาได้ดีกว่าเดิม

4. เพิ่มความสดชื่น มีชีวิตชีวา ด้วยสีเขียวจากต้นไม้

การพักสายตาหันไปมองธรรมชาติรอบตัว เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจจากความเครียดได้ดี และการปลูกต้นไม้ภายในห้องทำงาน อาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคาดคิด เพราะต้นไม้บางชนิดมีคุณสมบัติช่วยดักจับฝุ่นและสารพิษในอากาศ หรือสามารถฟอกอากาศให้สะอาด สดชื่น ด้วยการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ อย่างต้นยางอินเดีย, เขียวหมื่นปี, เดหลี, ฟิโลเดนดรอน หรือลิ้นมังกร เป็นต้น โดยพืชเหล่านี้มักมีรูปทรงสวยงาม และชอบแสงแดดรำไร จึงเหมาะกับการประดับตกแต่งภายในบ้านเป็นอย่างยิ่ง 

การจะเลือกชนิดต้นไม้มาปลูกภายในห้องทำงานนั้น เราควรคำนึงถึงพื้นที่ว่างภายในห้องเป็นอย่างแรก หากห้องทำงานมีพื้นที่ไม่เพียงพอกับการวางกระถางบนพื้น อาจต้องหันมาเลือกไม้กระถางที่มีขนาดเล็ก หรือไม้แขวนประดับแทน เช่น ต้นเศรษฐีเรือนใน, พลูด่าง, เฟิร์นบอสตัน, ว่านหางจระเข้ เป็นต้น ที่สำคัญแม้ต้นไม้เหล่านี้จะต้องการแสงแดดน้อย แต่ก็ควรปลูกในจุดที่ลมถ่ายเทสะดวก และโดนแสงแดดอ่อนๆ บ้าง เพื่อให้ต้นไม้มีสุขภาพดี สามารถเจริญเติบอย่างสวยงาม หรือหากต้องการต้นไม้ใบสวยที่ไม่ง้อแดด ที่เน้นการดูแลรักษาได้ง่ายเหมาะกับไลฟ์สไตล์ก็จะยิ่งเหมาะสม หรือหากเลือกปลูกต้นไม้ที่สามารถช่วยฟอกอากาศได้ ก็จะช่วยให้บรรยากาศรวมถึงอากาศในห้องทำงานสดชื่นขึ้นอีกด้วย

จาก 4 ไอเดียที่เราแนะนำมานี้ จะสังเกตได้ว่าการไหลเวียนของแสงและอากาศเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้บรรยากาศภายในห้องทำงานน่าอยู่สบาย การเลือกประตู-หน้าต่างที่มีคุณภาพสูง จึงเปรียบเสมือนเป็นเกราะป้องกันอันแข็งแกร่ง ที่ช่วยปกป้องเสียงและอุณหภูมิจากภายใน แต่ยังเปิดวิวทิวทัศน์ให้เราสามารถใช้ชีวิตและ Work from Home ได้อย่างสบายกายสบายใจ ซึ่งผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมจาก TOSTEM ทุกชิ้นล้วนผ่านกระบวนการผลิตและการทดสอบประสิทธิภาพอย่างเข้มงวด ตามมาตรฐานการผลิตจากญี่ปุ่นควบคู่กับมาตรฐานจากอเมริกา จนได้รับความไว้วางใจจากผู้ใช้งานมายาวนานตลอด 100 ปี

5 แนวคิดที่นำมาสู่ดีไซน์สุดโดดเด่นของประตูหน้าต่าง TOSTEM

สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมจากแบรนด์ TOSTEM สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลย